ถอดรหัส ทูตไทย แถลงต่อ UNSC กัมพูชาผิดข้อตกลงอะไรบ้าง คืออะไร?
26 กรกฎาคม 2568 กรณี นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูตและผู้แทนถาวรของประเทศไทย ประจำสหประชาชาติ แถลงต่อการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) แบบปิด เรียกร้องให้กัมพูชา ยุติความเป็นปรปักษ์และการรุกรานทั้งหมดทันที และ กลับสู่การเจรจาอย่างสุจริตใจ ที่ห้องประชุมคณะมนตรีความมั่นคง(UNSC) สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก
ภายหลังเกิดเหตุปะทะและสู้รบกันของไทย-กัมพูชา ตั้งแต่ช่วงสายวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยฝ่ายกัมพูชาเริ่มยิงก่อน และเป้าหมายคือ ชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ พลเรือน โรงพยาบาล และปั๊มน้ำมัน ส่งผลให้ฝ่ายทหารไทย ต้องเริ่มยุทธวิธีตอบโต้
ถ้อยแถลงของทูตไทย ประณามการกระทำของกัมพูชาไร้มนุษยธรรม และระบุว่า กัมพูชากระทำผิดข้อตกลง ฝ่าฝืน อนุสัญญา ปฏิญญา หลายฉบับ แต่ละฉบับคืออะไร ดังนี้
1.ประเทศไทยถือว่ากัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านใกล้ชิดและเป็นสมาชิกที่ใกล้ชิดของครอบครัวอาเซียนมาโดยตลอด นับตั้งแต่เอกราชของกัมพูชาในปี พ.ศ. 2496 ประเทศไทยได้ทุ่มเทความพยายามอย่างไม่ลดละในการสนับสนุนกระบวนการสันติภาพ การสร้างชาติและการพัฒนาผ่านข้อตกลงปารีสในปี พ.ศ. 2534
- ข้อตกลงปารีส พ.ศ.2534 คือ สนธิสัญญาระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันทางกฎหมายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้รับการรับรองโดย 195 ภาคี ในการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP21) ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2558 และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2559 เป้าหมายหลักของความตกลงนี้คือการควบคุม “การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกให้ต่ำกว่า 2°C เหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม” และพยายาม “จำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิให้ไม่เกิน 1.5°C เหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม”
2.การละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างโจ่งแจ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้กับระเบิดต่อต้านบุคคล หรือที่รู้จักกันในชื่ออนุสัญญาออตตาวา ซึ่งประเทศไทยและกัมพูชาเป็นรัฐภาคี โดยขัดต่อเจตนารมณ์ของปฏิญญาเสียมราฐ-อังกอร์ที่ลงนามในเดือนพฤศจิกายน 2567
- อนุสัญญาออตตาวา (Ottawa Convention หรือ Mine Ban Treaty) คือ สนธิสัญญาระหว่างประเทศที่มีเป้าหมายเพื่อยุติการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (anti-personnel landmines: APL) ทั่วโลก ไม่ว่าจะในยามสงครามหรือหลังความขัดแย้งสิ้นสุดลง อนุสัญญานี้เปิดให้ประเทศต่างๆ ลงนามเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2540 ที่กรุงออตตาวา ประเทศแคนาดา และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2542 เนื้อหาหลักของอนุสัญญากำหนดให้ประเทศภาคี ห้ามใช้ ผลิต สะสม หรือโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคล รวมถึงต้องทำลายทุ่นระเบิดที่มีอยู่ในครอบครองภายใน 4 ปี นับจากให้สัตยาบัน และต้องเคลียร์พื้นที่ปนเปื้อนทุ่นระเบิดภายใน 10 ปี พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากทุ่นระเบิดในเชิงสังคมและเศรษฐกิจ ปัจจุบันมีประเทศที่เป็นภาคีของอนุสัญญาออตตาวาจำนวน 164 ประเทศทั่วโลก
- ปฏิญญาเสียมราฐ-อังกอร์ (Siem Reap-Angkor Declaration) คือ โลกที่ปราศจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ค.ศ.2024
3. การอ้างคำกล่าวของผู้แทนถาวรกัมพูชาที่กล่าวในการประชุมเดียวกันในส่วนนี้ ประเทศไทยขอประณามอย่างรุนแรงที่สุด การโจมตีอย่างไม่เลือกหน้าและไร้มนุษยธรรมของกัมพูชาต่อพลเรือน โครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน และสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะ – โดยเฉพาะโรงพยาบาล – ซึ่งละเมิดอนุสัญญาเจนีวา พ.ศ.2492 โดยเฉพาะมาตรา 19 ของอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 1 และมาตรา 18 ของอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 4
- อนุสัญญาเจนีวา พ.ศ.2492 คือ สนธิสัญญาที่สำคัญในกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางอาวุธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสู้รบ เช่น พลเรือน บุคลากรทางการแพทย์ และผู้ทำงานด้านมนุษยธรรม รวมถึงผู้ที่ไม่สามารถเข้าร่วมการสู้รบได้อีกต่อไป เช่น ทหารที่ได้รับบาดเจ็บหรือป่วย
- อนุสัญญาเจนีวา ฉบับที่ 1 มาตรา 19 กำหนดให้ฝ่ายที่อยู่ในความขัดแย้ง ต้องให้ความคุ้มครองและดูแลผู้บาดเจ็บและป่วยของอีกฝ่ายหนึ่งอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่คำนึงถึงสัญชาติ ศาสนา หรือความเชื่อ มาตรานี้ยังกำหนดให้ต้องเคารพในเกียรติและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้บาดเจ็บและป่วย
- อนุสัญญาเจนีวา ฉบับที่ 4 มาตรา 18 กำหนดให้ฝ่ายที่อยู่ในความขัดแย้ง ต้องให้ความคุ้มครองและดูแลพลเรือนที่อยู่ภายใต้อำนาจของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็ก สตรี และผู้สูงอายุ มาตรานี้ยังกำหนดให้ฝ่ายที่อยู่ในความขัดแย้ง ต้องอำนวยความสะดวกในการส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมไปยังพลเรือนที่ได้รับผลกระทบ
- สรุป มาตรา 19 ของอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 1 และมาตรา 18 ของอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 4 มีความสำคัญในการให้ความคุ้มครองผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางอาวุธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อ่อนแอและเปราะบาง การปฏิบัติตามอนุสัญญาเจนีวาเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้แน่ใจว่าความขัดแย้งจะไม่นำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนและกฎหมายมนุษยธรรม
4. ถ้อยแถลงในเรื่องของการตอบโต้ ระบุว่า แม้จะมีความอดทนอย่างที่สุด ประเทศไทยก็ถูกบังคับให้ต้อง กระทำเพื่อป้องกันตนเองภายใต้ มาตรา 51 กฎบัตรสหประชาชาติ การตอบสนองของเราถูกจำกัดอย่างเคร่งครัดในขอบเขต ได้สัดส่วน และมุ่งเป้าไปที่การทำให้ภัยคุกคามที่กำลังจะเกิดขึ้นจากกองกำลังกัมพูชาเป็นกลางเท่านั้น มาตรการทั้งหมดมุ่งเป้าไปที่เป้าหมายทางทหารที่ชอบด้วยกฎหมาย โดยมีความพยายามทุกวิถีทางเพื่อหลีกเลี่ยงการทำร้ายพลเรือน
- มาตรา 51 กฎบัตรสหประชาชาติ คือ ไม่มีข้อความใดในกฎบัตรฉบับปัจจุบันที่จะบั่นทอนสิทธิโดยธรรมชาติในการป้องกันตนเองส่วนบุคคลหรือส่วนรวม หากเกิดการโจมตีด้วยอาวุธต่อสมาชิกสหประชาชาติ จนกว่าคณะมนตรีความมั่นคงจะได้ดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ มาตรการที่สมาชิกได้ดำเนินการในการใช้สิทธิในการป้องกันตนเองนี้ จะต้องรายงานต่อคณะมนตรีความมั่นคงโดยทันที และจะไม่กระทบต่ออำนาจและความรับผิดชอบของคณะมนตรีความมั่นคงตามกฎบัตรฉบับปัจจุบันไม่ว่าในทางใด ในการดำเนินการใดๆ ตามที่เห็นว่าจำเป็น เพื่อรักษาหรือฟื้นฟูสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ
อ่านถ้อยแถลงฉบับเต็มภาษาไทย (คลิกที่นี่)