
ที่มา : วงประชุม สมาคมรัฐศาสตร์นานาชาติ International Political Sciene Association (IPSA 2025)
สถานที่ : กรุงโซล เกาหลีใต้
ความสำคัญ : นักรัฐศาสตร์และนักวิชาการจากทั่วโลกกว่า 100 ประเทศ มากกว่า 3,000 คน
**วงประชุมนี้มีนักวิชาการชั้นนำของไทยไปร่วมด้วยอย่างน้อย 2 คน คือ ดร.ถวิลวดี บุรีกุล อดีต ผอ.สำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า / และ ศ.ดร.ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หัวข้อหลัก : การต่อต้านกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบอำนาจนิยมในสังคมที่มีความแตกแยกทางการเมือง
หรือ Resisting Autocratization in Polarized Societies
// ข้อสังเกตและข้อค้นพบ //
- รัฐบาลอำนาจนิยมกำลังขยายตัวเพิ่มขึ้น
- ระบอบประชาธิปไตยกำลังถูกกัดกร่อนทั้งจากฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย จากเบื้องบน (ผู้นำ) และจากเบื้องล่าง (ประชาชน) รวมถึงจากภายนอก
**ได้รับการสนับสนุนและชี้นำจากการจัดระเบียบภูมิภาคใหม่ๆ
- เกิดการแบ่งขั้วทางการเมืองและอุดมการณ์อย่างลึกซึ้งมากขึ้น ในเรื่องเป้าหมายทางการเมือง สังคม และชาติในอนาคต
- สังคมในหลายประเทศเริ่มแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างรุนแรง โดยที่แต่ละฝ่ายต่างมองอีกฝ่ายว่าเป็น “ปัญหา” ไม่ใช่ “คู่ร่วมสังคม”
- การแบ่งขั้วอย่างสุดโต่งในหมู่ชนชั้นนำ รวมถึงในหมู่ประชาชนทั่วไป ได้กลายเป็นลักษณะเด่นที่พบได้ทั้งในประเทศโลกเหนือและโลกใต้
- ผู้นำบางคนที่มาจากการเลือกตั้งเริ่มท้าทายกติกาเดิม ลิดรอนสิทธิของชนกลุ่มน้อย รวมถึงสิทธิทางการเมืองและสิทธิพลเมือง และพยายามปรับเปลี่ยนเวทีทางการเมืองเพื่อผลักดันนโยบายตามความต้องการของตนเอง
- ความนิยมในระบอบประชาธิปไตยในหมู่ประชาชนเริ่มลดลง
**หลายคนเชื่อว่าประชาธิปไตยไม่สามารถตอบสนองต่อคำสัญญาเดิมได้ หรือไม่อาจเติมเต็มความคาดหวังในด้านเศรษฐกิจ การเมือง หรือสังคมได้อีกต่อไป
- ประชาชนจำนวนไม่น้อยรู้สึกเบื่อหน่าย ไม่พอใจ และในบางประเทศถึงขั้นต้องอยู่ในภาวะหวาดกลัวอย่างต่อเนื่อง
- ในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้นำอำนาจนิยมและนโยบายของพวกเขากลับได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
**มีการบิดเบือน / การเมืองยุคหลังความจริง (post-truth politics) และการใช้เหตุการณ์ เช่น สงคราม การอพยพ หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อหวังผลทางการเมือง
ไทย : ประชาธิปไตยบกพร่อง - ความเชื่อมั่นต่ำเตี้ย
อาจารย์ถวิลวดี ซึ่งไปร่วมนำเสนองานวิจัยในเวทีนี้ด้วย เล่าให้ฟังว่า มีงานวิจัย และการสำรวจที่ร่วมกันทำทั้งภูมิภาค พบข้อมูลน่าตกใจว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่จำนวนเปอร์เซ็นต์ของประชาชนที่ตอบผลสำรวจว่า “การกระจายรายได้ไม่เป็นธรรม” สูงที่สุดในประเทศที่ศึกษาในภูมิภาคเอเชีย (ย้ำว่า ทั้งเอเชียนะ ไม่ใช่อาเซียน) และเรื่องนี้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในรัฐบาลมากที่สุด ทำให้ความเชื่ีอมั่นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาล ตกต่ำลงเรื่อยๆ และกำลังต่ำอย่างที่ไม่เคยต่ำแบบนี้มาก่อน
อาจารย์ถวิลวดี ระบุอีกว่า ประเทศไทยถูกจัดว่าเป็น “ประชาธิปไตยที่บกพร่อง” แม้ความเข้าใจทางการเมืองของประชาชนจะมีมากขึ้น แต่ความรู้สึกว่า “ตนมีอิทธิพลต่อรัฐบาล” ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (คล้ายๆ กับที่พูดกันว่า การเมืองไทยไม่ค่อยมีประชาชนในสมการ)
การสำรวจกินเวลา 20 ปีต่อเนื่อง ระยะหลังความเชื่อมั่นต่อนายกรัฐมนตรี และสถาบันการเมืองต่างๆ ลดต่ำ โดยเฉพาะวุฒิสภา สะท้อนถึงความเสื่อมถอยของความไว้วางใจในผู้นำและระบบ
ระหว่างวันที่ 12 ถึง 16 กรกฎาคม 2568 มีการประชุมที่สำคัญของโลกคือการประชุม ของสมาคมรัฐศาสตร์นานาชาติ INTERNATIONAL POLITICAL SCIENCE ASSOCIATION ของนักรัฐศาสตร์และนักวิชาการจากทั่วโลกกว่า 100 ประเทศ
โดยหัวข้อหลักของการประชุมคือ
การต่อต้านกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบอำนาจนิยมในสังคมที่มีความแตกแยกทางการเมือง หรือ Resisting Autocratization in Polarized Societies
ทั้งนี้สาระสำคัญที่นำมาสู่การประชุมหัวข้อนี้ก็คือ การที่ รัฐบาลอำนาจนิยมกำลังขยายตัวเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ระบอบประชาธิปไตยกำลังถูกกัดกร่อนทั้งจากฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย จากเบื้องบน —ผู้นำ— และจากเบื้องล่าง —ประชาชน— รวมถึงจากภายนอก
โดยได้รับการสนับสนุนและชี้นำจากการจัดระเบียบภูมิภาคใหม่ๆ นอกจากนี้ ประเทศที่เคยมีประชาธิปไตยมั่นคง หรืออย่างน้อยยังคงมีโครงสร้างพื้นฐานขั้นต่ำ เช่น การเลือกตั้ง ก็ล้วนกำลังเผชิญกับการแผ่ขยายของการเมืองแนวอำนาจนิยม
นอกจากนี้ ยังเกิด การแบ่งขั้วทางการเมืองและอุดมการณ์ อย่างลึกซึ้งมากขึ้นในเรื่องเป้าหมายทางการเมือง สังคม และชาติในอนาคต สังคมในหลายประเทศเริ่มแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างรุนแรง โดยที่แต่ละฝ่ายต่างมองอีกฝ่ายว่าเป็น “ปัญหา” ไม่ใช่ “คู่ร่วมสังคม” การแบ่งขั้วอย่างสุดโต่งในหมู่ชนชั้นนำ รวมถึงในหมู่ประชาชนทั่วไป ได้กลายเป็นลักษณะเด่นที่พบได้ทั้งในประเทศโลกเหนือและโลกใต้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาธิปไตยและระเบียบระหว่างประเทศอย่างชัดเจน
ผู้นำบางคนที่มาจากการเลือกตั้งเริ่มท้าทายกติกาเดิม ลิดรอนสิทธิของชนกลุ่มน้อย รวมถึงสิทธิทางการเมืองและสิทธิพลเมือง และพยายามปรับเปลี่ยนเวทีทางการเมืองเพื่อผลักดันนโยบายตามความต้องการของตนเอง ขณะเดียวกัน ความนิยมในระบอบประชาธิปไตยในหมู่ประชาชนเริ่มลดลง หลายคนเชื่อว่าประชาธิปไตยไม่สามารถตอบสนองต่อคำสัญญาเดิมได้ หรือไม่อาจเติมเต็มความคาดหวังในด้านเศรษฐกิจ การเมือง หรือสังคมได้อีกต่อไป
ประชาชนจำนวนไม่น้อยรู้สึกเบื่อหน่าย ไม่พอใจ และในบางประเทศถึงขั้นต้องอยู่ในภาวะหวาดกลัวอย่างต่อเนื่อง ในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้นำอำนาจนิยมและนโยบายของพวกเขากลับได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ท่ามกลางข้อกล่าวหาเรื่องการกีดกันผู้มีสิทธิเลือกตั้งและการบิดเบือนข้อมูล ข่าวปลอม การเมืองยุคหลังความจริง (post-truth politics) และการใช้เหตุการณ์ เช่น สงคราม การอพยพ หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อหวังผลทางการเมือง กำลังเกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย และถูกหนุนเสริมด้วยกระบวนการดิจิทัล
เรายังพบว่า ระเบียบภูมิภาคใหม่ๆ กำลังมีบทบาทสำคัญในการช่วยผู้นำที่มีแนวโน้มอำนาจนิยมให้ฉวยใช้ความไม่พอใจของประชาชนต่อประชาธิปไตย และ ใช้กฎหมายหรือนโยบายที่อ้างความมั่นคงของชาติ ความมัธยัสถ์ กลไกการมีส่วนร่วม หรือการควบคุมการย้ายถิ่นอย่างปลอดภัย เพื่อบ่อนทำลายประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพของประชาชน
อย่างไรก็ดี ยังมีบางประเทศที่สามารถ ต่อต้านกระแสอำนาจนิยม ได้สำเร็จ ด้วยการดำเนินมาตรการอย่างทันท่วงทีเพื่อหยุดยั้งกระบวนการกัดกร่อนประชาธิปไตย พรรคฝ่ายค้านที่รับผิดชอบ ศาลที่เป็นอิสระ และภาคประชาสังคมที่เข้มแข็ง ล้วนมีบทบาทในการธำรงคุณค่าประชาธิปไตย
นอกจากนี้ ประชาธิปไตยในบางประเทศที่ยังแข็งแรง ยังสามารถมีบทบาทเชิงรุกในการสนับสนุนระบอบประชาธิปไตยอื่นๆ ในภูมิภาค เพื่อ ต่อต้านอำนาจนิยม ส่งเสริม และปกป้องประชาธิปไตย ผ่านความร่วมมือในองค์กรระหว่างประเทศ
การต่อสู้กับกระแสการเมืองแนวอำนาจนิยมและระบอบอำนาจนิยม จำเป็นต้องอาศัยทั้งพลังจากนักประชาธิปไตยในประเทศ และการสนับสนุนจากประเทศประชาธิปไตยอื่นๆ รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศ ที่สามารถสร้างความร่วมมือ ผลักดันยุทธศาสตร์ในการปกป้องคุณค่าประชาธิปไตย และมีส่วนช่วยในการฟื้นฟูประชาธิปไตย รวมถึงลดผลกระทบจากรัฐบาลอำนาจนิยม
สำหรับการประชุมใหญ่ของ IPSA ในปี 2025 เรามุ่งหวังที่จะดึงดูดความสนใจของนักรัฐศาสตร์ทั่วโลกต่อประเด็น “การต่อต้านการเมืองอำนาจนิยมในบริบทของสังคมที่แบ่งขั้วอย่างสุดโต่ง” เราขอเชิญชวนให้มีการเสนอหัวข้อและร่วมแลกเปลี่ยนอย่างสร้างสรรค์เกี่ยวกับความเชื่อมโยงที่ซับซ้อนระหว่างปรากฏการณ์เหล่านี้ กับประเด็นสำคัญอื่นๆ เช่น สิทธิมนุษยชน เสรีภาพ ความเหลื่อมล้ำ สถาบันทางการเมือง นโยบายสาธารณะ ภาคประชาชน การย้ายถิ่น การเมืองด้านสภาพภูมิอากาศ ข้อตกลงระหว่างประเทศ และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศ
ที่น่าสนใจคือ การประชุมครั้งนี้ มีบทความนำเสนอ หลาย พันเรื่อง มีผู้เข้าร่วมประชุมหลายพันคนในจำนวนนี้เกือบครึ่งเป็นผู้หญิง
และในพิธีเปิดงานวันที่ 13 เวลาค่ำนาธิบดีเกาหลีคนใหม่ นายอี แชม มย็อง ได้มาเป็นผู้ปาฐกถาเปิด
ซึ่งมีสารสำคัญที่น่าสนใจสรุปได้คือ ประชาธิปไตยกำลังถดถอย ผู้นำบางคนในหลายประเทศก็ใช้นโยบายประชานิยมเป็นเครื่องมือในการทำงานการเมือง
ที่สำคัญคือทุกคนควรมีจิตสำนึกอย่างแท้จริงในเรื่องของประชาธิปไตย ขณะนี้เกิดวิกฤติ และมีความอ่อนแอทางการเมือง ไปในหลายพื้นที่
ดังนั้นจึงควรร่วมกันมองไปข้างหน้า ประชาชนต้องมีความเข้มแข็ง ยกตัวอย่างของกรณีที่เกิดขึ้นที่ประเทศเกาหลี
เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2024 (ที่เกาหลีใต้เผชิญกับวิกฤตการณ์ทางการเมืองครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ยุคเผด็จการทหาร เมื่อประธานาธิบดียุน ซอก-ยอล ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วประเทศอย่างไม่คาดคิดในเวลา 22:27 น. ตามเวลาท้องถิ่น โดยกล่าวหาว่าพรรคประชาธิปไตยซึ่งครองเสียงข้างมากในสภาแห่งชาติ มีพฤติกรรม “ต่อต้านรัฐ” และร่วมมือกับ “คอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือ” เพื่อโค่นล้มระบอบประชาธิปไตยของประเทศ
คำประกาศนี้สร้างความตื่นตระหนกในหมู่ประชาชนและนักการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีรายงานว่าทหารพร้อมอาวุธได้บุกเข้าไปในอาคารรัฐสภา และตำรวจได้ปิดล้อมทางเข้าออกทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ในเวลา 01:01 น. ของวันที่ 4 ธันวาคม สภาแห่งชาติได้ลงมติด้วยคะแนนเสียง 190 ต่อ 0 ให้ยกเลิกกฎอัยการศึก โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งกำหนดให้ประธานาธิบดีต้องปฏิบัติตามหากสภามีมติให้ยกเลิก
แม้ในช่วงแรกจะมีความพยายามจากฝ่ายบริหารในการขัดขวางการประชุมของสภา แต่ในที่สุด ประธานาธิบดียุนได้ยกเลิกกฎอัยการศึกในเวลา 04:27 น. ของวันเดียวกัน เหตุการณ์นี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าเป็นความพยายาม “รัฐประหารตัวเอง” และนำไปสู่การยื่นถอดถอนประธานาธิบดีโดยสภาแห่งชาติในวันที่ 14 ธันวาคม
ต่อมา ศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติเป็นเอกฉันท์เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2025 ให้ถอดถอนประธานาธิบดียุนออกจากตำแหน่ง โดยระบุว่าการประกาศกฎอัยการศึกเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญอย่างร้ายแรง และเป็นการใช้อำนาจในทางที่ผิดเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง )
เหตุการณ์นี้ถือเป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความเปราะบางของประชาธิปไตย และแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของสถาบันประชาธิปไตยในเกาหลีใต้ที่สามารถต้านทานการใช้อำนาจในทางที่ผิดได้
ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่ทางเกาหลีเร่งทำก็คือการเร่งสร้างความเชื่อมั่นไว้วางใจ ในสถาบันการเมือง ให้เกิดขึ้นกับประชาชน เพราะอำนาจที่แท้จริงมาจากประชาชนนั่นคือการสร้างความเป็นสถาบันของ ประชาชน จึงเรียกร้องให้ มีการจัดระเบียบประชาธิปไตยยุคใหม่