
3 กรกฎาคม 2568 ที่อาคารรัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้าน ได้ตั้งกระทู้ถามสดถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ปมปัญหาไทยกัมพูชา โดยมี พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม จะเป็นผู้มาตอบคำถาม โดยนายณัฐพงษ์ กล่าวว่า สถานการณ์วิกฤตไทยกัมพูชา ที่เกิดขึ้นตอนนี้ สิ่งที่ประชาชนต้องการคือ รัฐบาลที่เข้มแข็งไม่อ่อนแอ ขณะเดียวกันก็ต้องมีการบริหารสถานการณ์ อย่างมีวุฒิภาวะรอบคอบ ได้รับการยอมรับจากนานาอารยประเทศ โดยเฉพาะเพื่อนบ้านให้ความเกรงอกเกรงใจรัฐบาลไทย
ซึ่งการที่รัฐบาลจะดำเนินมาตรการต่างๆ อย่างเข้มแข็งและเหมาะสม ก็มีหลายมาตรการที่สามารถทำได้ เช่น มาตรการทางการทหาร มาตรการทางเศรษฐกิจ หรือมาตรการที่พุ่งเป้าไปยังผู้มีอิทธิพลของผู้นำกัมพูชา สถานการณ์คลิปหลุดล้วนเกิดขึ้นจากการบริหารที่ผิดพลาด ที่ผู้นำประเทศใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัว จนนำมาสู่วิกฤตครั้งนี้ที่คลี่คลายได้อย่างยากยิ่งขึ้น
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า นายกฯ เคยมีการสื่อสารต่อสื่อมวลชนว่า มาตรการทางเศรษฐกิจที่ในบางกรณีหรือหลายกรณีนั้น ส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้าง ต้องใช้ไปเพื่อสร้างแรงกดดัน เพื่อป้องกันผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของกำลังทหาร และการใช้กับอาวุธที่ใช้ปฏิบัติการในระยะไกลของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งมาตรการอื่นๆ สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เช่น มาตรการทางเศรษฐกิจ หากสถานการณ์ปรับเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น ตั้งแต่วันที่ 8 มิ.ย.68 เป็นต้นมา
มีรายงานข่าวที่สอดคล้องกันทั้ง 2 ประเทศไทยกัมพูชาว่า กัมพูชาได้ปรับกำลังถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่พิพาทแล้ว แต่เราก็ทราบดีว่า ในขณะนี้เรื่องของการควบคุมด่านชายแดน ที่รัฐมนตรีใช้คำว่าเปิดด่านแบบจำกัดเวลา เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นมาตรการกดดันทางเศรษฐกิจ ที่ด้านหนึ่งเป็นมาตรการที่มีประสิทธิภาพ แต่ด้านหนึ่งก็ส่งผลกระทบต่อประชาชนภายในวงกว้างเช่นเดียวกัน
คำถามแรกที่อยากจะถาม รัฐบาลต้องแสดงความเข้มแข็ง พวกเราไม่ได้เห็นต่างในเรื่องการใช้มาตรการกดดันทางเศรษฐกิจ แต่ใช้อย่างไรให้เหมาะสมและแสดงออกว่า รัฐบาลอย่างรอบคอบมีวุฒิภาวะ ไม่ดำเนินมาตรการที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างเกินความจำเป็น ดังนั้นสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ตามหน้าข่าวอาจไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง จึงอยากทราบข้อเท็จจริงจากรัฐมนตรีในวันนี้ แล้วอยากจะสอบถามว่า ณ ตอนนี้สถานการณ์ระหว่างไทย -กัมพูชา ตามแนวชายแดน ยังมีความตึงเครียด มีความกดดันทางด้านการทหารที่กัมพูชา ดำเนินการอยู่ใช่หรือไม่ หากมี มีอย่างไร
พล.อ.ณัฐพล กล่าวตอบว่า ขอชี้แจงภาพรวมก่อนที่จะตอบคำถาม จากที่ได้รับทราบว่า วันที่ 8 มิ.ย. กัมพูชาได้มีการเคลื่อนย้ายกำลัง กลับจากจุดที่เผชิญหน้ากันอยู่หลายครั้ง ที่เราพยายามจะเจรจากับฝ่ายกัมพูชา เพราะมีกำลังเข้ามาเผชิญหน้าอยู่ระยะใกล้ ถ้ามีการเริ่มใช้อาวุธ จะมีความตึงเครียดเหตุการณ์อาจจะบานปลายได้ แม้กำลังที่เผชิญหน้าจะถอนกลับไปแล้ว แต่กำลังส่วนที่เหลือที่มีจำนวนมาก มีทั้งอาวุธหนัก ทั้งรถถังและปืนใหญ่ ยังเป็นกำลังและรอบ 2 ที่ยังคงอยู่ในพื้นที่ ตรงนี้ยังมีความเสี่ยงที่วันใดวันหนึ่งเกิดความไม่เข้าใจกัน แล้วอาจทำให้สถานการณ์บานปลายถึงขั้นใช้อาวุธหนัก
ตนมีประสบการณ์ตอนเขาพระวิหาร ในครั้งนั้นอาวุธที่ทั้งสองฝ่ายมี ยังไม่ร้ายแรงเท่าครั้งนี้ รัฐบาลมีความห่วงใยความปลอดภัยของประชาชน จึงมีแนวทางในการดำเนินการคลี่คลายความตึงเครียดในบริเวณชายแดนดังนี้
1. ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย -กัมพูชา (ศบ.ทก.) ที่ทำงานภายใต้ สมช.เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้เกี่ยวข้องกับความมั่นคง ได้กำหนดแนวทางการทำงานได้ไว้อย่างชัดเจน บนพื้นฐานสันติวิธี และการยึดถือศักดิ์ศรีแห่งความเป็นรัฐของทั้งสองฝ่าย มุ่งเน้นเจรจาแบบทวิภาคีกับกัมพูชา เพื่อคลี่คลายอย่างสันติ และป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลุกลามบานปลาย ด้านการใช้อาวุธและบานปลายในแง่ของความเดือดร้อนของประชาชน
ทั้งนี้ ศบ.ทก.และรัฐบาลหนักใจ เพราะว่าสังคมมี 2 กระแส คือ ประชาชนตามจังหวัดแนวชายแดน เรียกร้องรัฐบาลยุติสถานการณ์โดยเร็ว เพราะประชาชนเดือดร้อน ทั้งในแง่ความปลอดภัยและเศรษฐกิจ แต่ประชาชนพี่น้องส่วนกลาง ที่ไม่ต้องการให้รัฐบาลอ่อนข้อ อยากให้ใช้มาตรการที่เข้มแข็ง ซึ่งปัจจุบันคนไทยมีความคิด 2 กลุ่มดังที่กล่าวไป ดังนั้นการตัดสินใจแต่ละเรื่อง จะต้องรอบคอบและใช้น้ำหนักให้ดี
2. รัฐบาลตระหนักถึงความตึงเครียดที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาลประเทศเพื่อนบ้าน อาจมีการชี้นำจากฝ่ายการเมืองหรือผู้นำบางคน แต่สิ่งที่ไทยต้องรักษาให้มั่นคือความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประชาชน2 ประเทศ ซึ่งทุกคนตระหนักดีว่าความตึงเครียดที่เกิดขึ้นเกิดมาจากส่วนบุคคลดังนั้นไม่ควรนำความตึงเครียดขยายไปสู่ประชาชนทั่วไป
“ประชาชนไม่ควรมาเป็นเหยื่อการเมืองระดับรัฐ ขอเป็นหน้าที่ของรัฐบาลไทยที่ต้องดำเนินการทุกอย่างอย่างรอบคอบเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อประชาชน2 ฝ่าย”
3. เราจำเป็นต้องดำเนินมาตรการควบคุมที่เข้มงวดบริเวณชายแดนเนื่องจากมีข้อมูลที่ชัดเจนว่า ทางกัมพูชามีการสั่งกำลังเคลื่อนย้ายเข้ามาพื้นที่ชายแดน และไทยจำเป็นต้องเสริมกำลังในระดับที่เหมาะสมเพื่อรักษาอธิปไตยและความมั่นคง ซึ่งทุกการเคลื่อนไหวของไทยอยู่ในกรอบสันติวิธีและหลีกเลี่ยงการประทะโดยเด็ดขาดหากกัมพูชาไม่รุกล้ำ อธิปไตยด้วยการติดอาวุธ
4. การควบคุมชายแดนรัฐบาลไทยได้ร่วมมือกับสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมว่าด้วยแห่งสหประชาชาติ หรือ UNODC รวมถึงประเทศพันธมิตรในการปราบปรามกระบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะสแกรมเมอร์ มีข้อมูลว่าแฝงตัวอยู่บริเวณแล้วชายแดนไทย-กัมพูชาจำนวนมาก จึงต้องตรวจสอบควบคุมการเข้าออกในบริเวณชายแดนอย่างเข้มข้น
5. ทุกมาตรการที่รัฐบาลดำเนินการ ศบ.ทก. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง มุ่งหวังให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนบริเวณแนวชายแดนกลับคืนสู่สภาพปกติโดยเร็วที่สุด ทางด้าน “ความมั่นคง-เศรษฐกิจสังคม-จิตวิทยา” และยึดหลักมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด
พล.อ.ณัฐพล ยังชี้แจงเรื่องอำนาจของกองทัพว่า เป็นเรื่องที่ลำบากใจ เนื่องจากส่วนตัวนั้นเป็นรัฐบาลฝ่ายการเมืองแต่ยังมียศ ทำให้ถูกมองว่าเป็นทหาร ซึ่งก่อนที่ถูกมอบหมายให้รับหน้าที่ในตำแหน่งนี้ ผู้ใหญ่มองว่าเป็นทหาร แล้วมาเป็นรัฐบาลมีข้อดีที่ว่า เวลาอยู่ในรัฐบาลก็เป็นการเมือง แต่กลับกองทัพก็เป็นทหาร แต่ผลที่ที่ผ่านมายังไม่ได้เป็นไปตามที่คิด
“ปรากฏว่าเวลาที่ผมกลับไปอยู่กองทัพ ทุกคนก็มองว่าผมเป็นรัฐบาล เวลาผมอยู่ในรัฐบาล เค้าก็มองว่าผมเป็นกองทัพ เพราะฉะนั้นขอกราบเรียนท่านประธานว่าปัจจุบันผมทำงาน เวลาผมเป็นรัฐบาล ผมก็ทำงานเป็นรัฐบาล ที่ผ่านมาดำเนินการโดยรัฐบาล โดยตนเองเป็น ผอ.ศบ.ทก.”
พล.อ.ณัฐพล กล่าวถึงข้อห่วงใยว่ากองทัพมีอำนาจนั้นว่า รัฐบาลกำหนดนโยบายให้ทุกส่วนราชการปฏิบัติและใช้อำนาจ สมช. โดยมีรองนายกรัฐมนตรี อำนวยการเพื่อให้ทุกหน่วยงานดำเนินการภายใต้กรอบนโยบายเดียวกัน และกองทัพเป็นหนึ่งในหลายหน่วยงาน ที่ปฏิบัติตามแนวทางของรัฐบาล สถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดน เป็นภาวะฉุกเฉินเชิงความมั่นคง ซึ่งฝ่ายกัมพูชามีระบบสั่งการแบบรวมศูนย์ ผู้นำสามารถสั่งการแนวหน้าตามแนวชายแดนได้ทันที
ขณะที่ไทยหากยังใช้สายบังคับบัญชา ตั้งแต่รัฐบาล สมช. และกองทัพ จะไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทันต่อสถานการณ์ จึงขอความเห็นใจในการบริหารสถานการณ์ ในส่วนที่เกี่ยวข้องในการใช้กำลังทหาร ซึ่งการใช้อำนาจกองทัพเป็นมาตรการเฉพาะหน้า ภายใต้กำกับ ศบ.ทก. มีการประชุมทุกขั้นตอน ไม่ได้ปล่อยให้กองทัพมีอิสระ
ทั้งนี้ รัฐบาลมองเรื่องปัญหาความมั่นคง ที่จะส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และเศรษฐกิจ ที่ทุกอย่างเกี่ยวเนื่องกัน ซึ่งปัจจุบันนี้เริ่มมีสัญญาณบวกว่า ผู้นำระดับสูงของกัมพูชาเริ่มมีการพูดคุย เพราะที่ผ่านมาไม่เคยยอมคุย แต่ 2-3 วันนี้ เริ่มมีการพูดคุยเรื่องบทบาททวิภาคี GBC แต่สถานการณ์ในโซเชียลระหว่างสองประเทศ ยังทำให้เกิดเงื่อนไขการเจรจายังไม่ได้ข้อยุติ
นายณัฐพงษ์ ถามครั้งที่ 2 ว่า วัตถุประสงค์และข้อเท็จจริงขณะนี้ ที่รัฐบาลยังคงมาตรการควบคุมด่านมีไว้เพื่ออะไร เพราะเห็นว่าหากใช้อย่างไม่เหมาะสม จะกลายเป็นความตึงเครียดที่ทำให้การบริหารสถานการณ์เดินไปด้วยความยากลำบาก และความคืบหน้าการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมถึงดำเนินคดีสังหารฝ่ายค้านกัมพูชาในไทย และทราบมาว่า กองทัพมีการประสานไปยัง คณะที่ปรึกษาทางการทหารสหรัฐประจำประเทศไทย หรือ จัสแมกซ์ไทย เพื่อขอกำลังบำรุงเครื่องกระสุน เพื่อรองรับต่อสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น แต่ทราบว่าเรื่องนี้ถูกคว่ำลง เนื่องจากฝ่ายการเมืองปัดตกคำขอ จึงขอฟังเหตุผลเรื่องนี้ เพราะเกรงใจต่อประเทศมหาอำนาจอื่น
พล.อ.ณัฐพล ตอบกระทู้ว่า ยอมรับในห้วงเวลาที่ผ่านมา ทำงานกับฝ่ายค้านและเห็นว่าฝ่ายค้าน มองผลประโยชน์ของประชาชน เช่น ข้อแนะนำของ สส.รังสิมันต์ โรม พร้อมชี้แจงว่า จากจากความกดดันในช่วงแรกที่ "อังเคิล" โพสต์มาตลอด ทำให้รู้สึกว่าเราอาจใช้ความกดดันที่ตึงเครียด โดยไทยมีมาตรการ ตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย.จนถึงปัจจุบัน คือ มาตรการควบคุมจุดผ่านแดน 4 ขั้นตอน ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ขั้นที่ 2 คือ 1.จำกัดการผ่านแดน 2.การจำกัดวันและเวลาในการเข้าออกจุดผ่านแดน 3. ปิดจุดผ่านแดนบางจุด 4. ปิดจุดผ่านแดนตลอดแนวชายแดน ซึ่งไม่ได้กดดันอะไรมาก อย่างจุดผ่านแดนช่องจอม จังหวัดสุรินทร์ ฝั่งไทยเปิด แต่ฝั่งกัมพูชาปิด ยืนยันเป็นเรื่องจริงไม่ใช่ภาพจัดฉาก หรือด่านคลองลึก จังหวัดสระแก้ว หรือจุดผ่านแดนถาวรบ้านแหลมจังหวัดจันทบุรี
“ขอทุกคนเปิดเข้าใจว่าไทยเปิดจุดผ่านแดนเพียงแต่ใช้มาตรการจำกัดสองขั้นตอนเท่านั้น เลยมีความรู้สึกว่ากดดันมาก เป็นความรู้สึกที่ทางฝ่ายผู้นำกัมพูชาโพสต์มา ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะฉะนั้นสถานการณ์ความตึงเครียดอะไรต่างๆ การโพสต์ต่างๆ เข้าใจว่า ท่านผู้นำกัมพูชาอยู่ที่พนมเปญ คงได้รับการบอกเล่าอาจจะคลาดเคลื่อน แต่ข้อเท็จจริงไปตามที่กราบเรียน” พล.อ.ณัฐพลกล่าว
พร้อมชี้แจงความมุ่งหมายในการกดดันคือ ไม่ได้กดดันด้านเศรษฐกิจ แต่กดดันด้านกระบวนการอาชญากรรมชายแดนเป็นไปตามความร่วมมือกับ UNODC ในการปราบสแกรมเมอร์ ซึ่งตั้งแต่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมาพบว่า สถิติลดลงอย่างเห็นได้ชัด แม้ประชาชนตามแนวชายแดนจะได้รับความเดือดร้อน และในฐานะเป็นรัฐบาลและรู้สึกเจ็บปวด ที่เหตุใดต้องดึงประชาชนมาเกี่ยว จึงขอให้เข้าใจว่าการบริหารสถานการณ์เป็นไปด้วยความยากมากเพราะสังคมมี 2 ฝ่าย แต่ฟังข้อมูลจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นข้อมูลที่สะเทือนใจ เมื่อเด็กนักเรียนนั่งเรียนต้องระวังฟังเสียงไซเรนว่าจะดังขึ้นเมื่อไหร่ นี่คือสิ่งที่ ศบ.ทก. จะระมัดระวังไม่ทำให้เหตุการณ์บานปลาย เพราะมีความเสียหายเกิดทั้งต่อกองทัพและประชาชน และยืนยันว่า รัฐบาลเร่งรัดและพยายามทำให้การโน้มน้าวเชิญชวนกัมพูชา มาเข้าสู่บรรยากาศการเจรจาแบบทวิภาคี ส่วนการคลี่คลายคดีลอบสังหารนักการเมืองฝ่ายค้านกัมพูชา ปัจจุบันอยู่ในความรับผิดชอบของตำรวจ
ส่วนเรื่องการประสาน "จัสแม็กซ์" นั้น เป็นประเด็นละเอียดอ่อน ตนเป็นเลขาธิการ สมช. มาก่อน ความมั่นคงยึดถือนโยบายสมดุลย์เป็นหลัก ในการสร้างสมดุลย์ระหว่างประเทศมหาอำนาจทุกประเทศ ระมัดระวังไม่ให้ไทยไปผูกพันธ์กับประเทศใดประเทศนึง ไม่ได้เป็นการยั่วยุหรือแสดงกำลัง เป็นเพียงความร่วมมือทางการทหาร
"การที่ทางกองทัพพูดคุยกับจัสแมกซ์ ทำไมฝ่ายการเมืองถึงยับยั้ง เพราะฝ่ายการเมืองมองในเรื่องนโยบายระหว่างประเทศ การรักษาสมดุลย์ ขอบคุณที่ถามเรื่องนี้ มันเป็นประเด็นสำคัญที่ย้ำว่า กองทัพไม่สามารถดำเนินการได้ตามลำพัง กองทัพต้องทำตามนโยบายรัฐบาล เพราะหากดึงอีกประเทศเข้ามา อาจทำให้เกิดปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ได้ ซึ่งเป็นแนวทางตามด้านความมั่นคง"
นายณัฐพงษ์ ถามครั้งที่ 3 ว่า ประเทศไทยเดินมาสู่เส้นทางเสียเปรียบเหตุ เพราะรัฐบาลเสียรู้จากกรณีคลิปเสียง และการสื่อสารที่ไม่รวดเร็วที่ชัดเจนมากเพียงพอ จึงตั้งคำถามต่อการแก้ปัญหาชายแดนต่อการใช้มาตรการทางการทูตเชิงรุก ประสานไปยังประเทศมหาอำนาจ ซึ่งเป็นประเทศที่สามเพื่อกดดันให้ประเทศกัมพูชา ใช้เวทีทวิภาคีในการแก้ปัญหาขัดแย้งหรือไม่
พล.อ.ณัฐพล ชี้แจงว่า ขณะนี้มีกระบวนการให้ใช้การเจรจาผ่านการประชุมคณะกรรมการเรื่องเขตแดน GBC หากทำสำเร็จ จะหารือใน 2 เรื่องคือ การเคลื่อนย้ายกำลังกลับที่ตั้งปกติ เลี่ยงความเสี่ยงเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ และยกเลิกมาตรการควบคุมตามแนวชายแดน ซึ่งมีรายละเอียดที่ไม่ลงตัวเพราะต่างฝ่ายยังระแวงจากโซเชียล
“การตอบโต้ผ่านโซเชียลกับอังเคิล นั้นไม่ได้ทำแบบทางการ และหากตอบโต้กันไปมา จะทำให้เป็นปัญหาได้ เมื่ออังเคิลบอกว่า ไทยผิดฝ่ายเดียว กัมพูชาไม่ผิด จึงใช้การตอบโต้แบบชี้แจงข้อเท็จจริง นำภาพให้ดู ไม่ใช่โต้กันไปกันมา ซึ่งไม่สามารถยุติการตึงเครียดที่เกิดขึ้นได้ รัฐบาลโดย ศบ.ทก กำลังดำเนินการ ขณะที่มาตรการทางการทูต รัฐบาลได้ทำผ่านกระทรวงการต่างประเทศ รวมถึงการทูตทางทหาร โดยเน้นย้ำเรื่องนโยบายสมดุล และมีข้อห่วงใยที่ประเทศเพื่อนบ้านทำ”