
ฮือฮาพอสมควรสำหรับท่าทีของพรรคภูมิใจไทยที่ยังไม่ทันเป็นฝ่ายค้านเต็มตัว เพราะยังไม่เปิดสภา รัฐบาลยังไม่ได้ตั้ง ครม.ใหม่เข้าไปแทนเรียบร้อย แต่ทางพรรคประชุมนัดแรกหลังถอนตัว ก็ประกาศยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลทันที
งานนี้ไม่ใช่แค่สังคมที่งุนงงสงสัย แต่แกนนำฝ่ายค้าน และพรรคที่เป็น “ผู้นำฝ่ายค้าน” อย่างพรรคประชาชน ก็ออกอาการข้องใจ ว่าจะรีบอะไรกันขนาดนี้ และยังมองว่า ไม่มีมารยาททางการเมือง ประกาศยื่นญัตติซักฟอกรัฐบาล ทั้งๆ ที่เสียง สส.ของตัวเองก็ไม่ถึง 1 ใน 5 ตามที่บัญญัติเงื่อนไขไว้ในรัฐธรรมนูญ (1 ใน 5 ของจำนวน สส.เท่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน 495 เสียง คือ 99 เสียง)
ปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น จึงน่าคิดว่า เหตุใดพรรคภูมิใจไทยจึงเร่งเกมขนาดนี้ หรือว่ากำลังสวมบท “ฝ่ายแค้น” มากกว่า “ฝ่ายค้าน” ตามที่แกนนำรัฐบาลออกมาโจมตีตอบโต้
คุณศักดา นพสิทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย นักวิเคราะห์การเมืองชื่อดัง ประเมินว่า
1.จับกระแสสังคมว่า คนไทยจำนวนไม่น้อยยังไม่เชื่อมั่นนายกฯแพทองธาร จากปัญหาคลิปเสียงสนทนากับฮุนเซน
ฉะนั้นพรรคภูมิใจไทยจึงเร่งเกมยื่นซักฟอกรัฐบาล เพื่อตอกย้ำกระแสนี้ และช่วงชิงเป็นผู้นำในกระแสต้านนายกฯแพทองธาร
2. พรรคภูมิใจไทยมีข้อมูลความสนิทสนมระหว่างครอบครัวชินวัตร กับครอบครัวฮุนเซน และประชาชนเชื่อด้วยว่ามี เนื่องจากร่วมรัฐบาลกันมานาน โดยข้อมูลนี้อาจสร้างคะแนนนิยมให้ภูมิใจไทยได้ หากมีการเลือกตั้งเร็วๆ นี้
3. มุ่งโจมตีรัฐบาลในช่วงวิกฤตศัทธา หากสถานการณ์การเมืองเป็นใจ “สายสีเขียว” (ทหาร) ออกมาแอคชั่น อาจเข้าทางเสนอเปลี่ยนตัวนายกฯ และเป็นโอกาสของ “เสี่ยหนู อนุทิน”
4. เบรกเกม พ.ร.บ.เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ทำให้ “ดีลนายใหญ่” ต้องล่าช้าออกไป และฉวยโอกาสโจมตีประเด็นกาสิโน ทำให้พรรคตัวเองได้แต้ม
5. สร้างความคึกคักในสภา ในการตรวจสอบนายกฯแพทองธาร เพื่อส่งสัญญาณกดดันถึงองค์กรอิสระที่รับเรื่องตรวจสอบคลิปเสียงนายกฯ ให้เร่งเกมนิติสงคราม
6. ผสานหลวมๆ หรืออาจลงทุนสนับสนุน “ม็อบนอกสภา” ให้กดดันตีกระหนาบรัฐบาลพร้อมกัน ทั้งในและนอกสภา หวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มแรงกดดันไปที่องค์กรอิสระ
ล่าสุดมีข่าว “สายสีน้ำเงิน” เติมคนร่วมม็อบวันเสาร์ที่ 28 มิถุนายนนี้แล้ว
ไม่ง้อพรรคส้ม? เปิดสูตรระดม “ฝ่ายแค้น” ยื่นซักฟอก
ส่วนเรื่องจำนวน สส.ที่จะลงชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนั้น มีรายงานว่า พรรคภูมิใจไทยไม่ได้รีบร้อน หรือ สวมบท “ฝ่ายแค้น” จนลืมเช็คเสียง สส.ในมือ ว่ามี 69 เสียง ยังขาดอีกถึง 30 เสียง
แต่ทางพรรคเชื่อว่า จะหา สส.ลงชื่อได้ครบ กล่าวคือ
สส.กลุ่มนี้ เป็นอดีตแกนนำประชาธิปัตย์ที่ย้ายมากับ “หัวหน้าพี” จึงมีความเก๋าทางการเมือง และมีการต่อสายคุยกับแกนนำม็อบบางปีกด้วย
จะเห็นได้ว่า เมื่อรวม สส. “ฝ่ายค้าน” ทุกสายแล้ว เสียง สส.ก็จะขาดไปไม่มากนัก ที่สำคัญหากภูมิใจไทยเร่งตีเหล็กตอนร้อน จะทำให้ได้กระแสสนับสนุน จนพรรคประชาชน อาจต้องตัดสินใจร่วมลงชื่อ เพราะมิฉะนั้นอาจถูกโจมตีว่า “ฮั้วกับเพื่อไทย” ได้เหมือนกัน
หนุนม็อบตีกระหนาบ - ขยายผล “ล้มกระดาน”
ยุทธศาสตร์ของภูมิใจไทย คือการกวนน้ำให้ขุ่นต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นกระแสกดดันองค์กรอิสระที่ตรวจสอบกรณีคลิปเสียงนายกฯ รวมถึงคำร้องอื่นๆ ที่จะทำให้เกิดการ “ล้มกระดานทางการเมือง” ด้วย
โดยหากกระแสไม่พอใจรัฐบาลขยายวง กระทั่งม็อบจุดติด มีการชุมนุมยืดเยื้อ หรือศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้นายกฯแพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่ ภูมิใจไทยอาจใช้กรรมการองค์กรอิสระสีน้ำเงิน พลิกเกม “นิติสงคราม” ให้เข้าทางตัวเอง โดยเฉพาะคำร้องคำร้องฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 เกี่ยวกับ ข้อห้ามในการแปรญัตติเปลี่ยนแปลงรายการหรือจำนวนในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล สส. และ สว.ทั้งหมด