
24 มิถุนายน 2568 ที่อาคารรัฐสภา นายอลงกต วรกี สมาชิกวุฒิสภาในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 วุฒิสภา กล่าวถึงการพิจารณา งบประมาณรายจ่ายของกระทรวงการคลังว่า พบข้อสังเกตที่น่าสนใจในกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา(กยศ.) ที่มีการจ้างบริษัททนายวงเงิน 100 ล้านบาท เพื่อมาทวงหนี้ ซึ่งขณะนี้มีการแยก TOR เป็นหลายบริษัท จึงต้องตรวจสอบว่าบริษัทเหล่านี้ กรรมการหรือผู้ถือหุ้นเป็นใคร และการทำแบบนี้คุ้มค่าหรือไม่
ส่วนกรมธนารักษ์ พบข้อสังเกตุ ในพื้นที่ราชพัสดุที่มีทั้งหมด 12 ล้านไร่ เป็นของส่วนราชการเกือบ 5 ล้านกว่าไร่ และสงวนไว้ 2 ล้านกว่าไร่ แต่ที่ของกระทรวงการคลังดูแล โดยกรมธนารักษ์ประมาณ 1.2 ล้านกว่าไร่ พบว่ามีรายได้เข้ามา แต่ตอบไม่ได้ว่าเงินตรงนั้นมาจากการให้เช่า หรือการหาผลประโยชน์แบบใด และเข้าเป็นรายได้ของรัฐหรือไม่ ซึ่งหน่วยงานก็ไม่สามารถตอบคำถามเรื่องนี้ได้ แต่ข้อมูลที่มีอยู่ รายได้ดังกล่าวเข้ากองทุนของกรมธนารักษ์ ซึ่งตรงนี้จะไม่กลายเป็นรายได้ของรัฐ
และอีกหนึ่งข้อสังเกตคือ งบประมาณที่ใช้กับศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ที่ตั้งงบไว้ 4.4พันล้านบาท โดยมีการสอบถามว่าใช้งบตัวนี้ทำอะไร และมีการจ่ายให้กับบริษัทมหาชน ที่ดำเนินการบริหารพื้นที่ จึงเกิดคำถามว่าทำไมต้องตั้งงบตรงนี้แล้วจ่ายเงินให้กับบริษัทมหาชน ทำไมบริษัทมหาชนไม่ตั้งงบเองและชี้แจงเอง ทำไมที่ตั้งของศูนย์ราชการถึงใช้งบประมาณกว่า 4.4 พันล้านบาท
เมื่อถามว่า สว.ตั้งธงอย่างไร ? กับงบประมาณปี 2569 นายอลงกต กล่าวว่า อำนาจของ สว. มีอย่างเดียว และไม่ได้ทำตาม สส.ที่จะพิจารณาแบบรายมาตรา แต่ สว.จะดูเป็นกลุ่มเศรษฐกิจ กลุ่มสังคม กลุ่มความมั่นคง และกลุ่มภัยพิบัติ เพื่อจะดูภาพรวมว่าการใช้จ่ายงบคุ้มค่าหรือไม่ และหน้าที่ของ สว.มีอย่างเดียวคือ เมื่อร่างงบประมาณเข้ามาแล้ว ก็จะมีการให้ข้อสังเกต
ส่วนกระแสข่าวที่ สว.จะดึงเวลาการพิจารณางบนั้น นายอลงกต กล่าวว่า ไม่น่าจะดึง เพราะเราดึงไม่ได้ หน้าที่ของ สว. มีอย่างเดียวคือเห็นชอบและไม่เห็นชอบ โดยการให้ข้อสังเกต ส่วนตัวเห็นว่า หากร่างงบประมาณ ผ่านจาก สส.มา ทาง สว. คงไม่ขัดข้อง เพราะจะได้ใช้งบประมาณโดยเร็ว เงินก็จะเข้าในระบบเร็ว เพื่อไปกระตุ้นเศรษฐกิจ ทาง สว. ขณะนี้ที่ได้คุยกัน น่าจะต้องให้ผ่าน เพื่อให้เกิดการใช้เงินให้เร็วขึ้น เราคงคัดค้านไม่ได้