svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

“ดร.ณัฏฐ์” ชี้ กลุ่ม สว.สีน้ำเงิน ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเชือด “แพทองธาร” วืดไม่เข้าเป้า

“ดร.ณัฏฐ์” ชี้ กลเกมการเมือง กลุ่ม สว.สีน้ำเงิน ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเชือด “แพทองธาร” ข้อเท็จจริงยังห่างไกล วืดไม่เข้าเป้า

สืบเนื่องจาก พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา ประธาน กมธ.ทหารและความมั่นคงแห่งรัฐ วุฒิสภาและกลุ่ม สว.สีน้ำเงิน แถลงต่อสื่อมวลชนที่ผ่านมาเพื่อแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ปมคลิปเสียงสนทนาระหว่างสมเด็จฮุน เซน ประธานพฤฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยอ้างอิงฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญมาตรา 1 รวมถึงระบุกรณีตำหนิ แม่ทัพภาค 2 ที่ว่า คนละฝ่ายกับรัฐบาล สร้างความแตกแยกคนในชาติและเข้าข่ายไม่ซื่อสัตย์สุจริตและละเมิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ล่าสุด มีเอกสารคำร้องว่อนเน็ต เผยแพร่ผ่านสื่อ นายมงคล สุรัจสัจจะ ประธานวุฒิสภา ส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสมาชิกสภาพความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงหรือไม่และส่งหนังสือให้ ปปช.ไต่สวนกรณีละเมิดจริยธรรมและคดีอาญาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมายนั้น ขอให้พิจารณาวินิจฉัยต่อศาลรัฐธรรมนูญ  ระหว่าง ประธานวุฒิสภา ผู้ร้องและนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เผยแพร่ผ่านสื่อนั้น

22 มิถุนายน 2568  ล่าสุด “ดร.ณัฏฐ์” หรือ ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน ได้ให้ความเห็นเพื่อประโยชน์สาธารณะว่า การย้อนเกล็ดแสบและเอาคืนของ สว.กลุ่มสีน้ำเงินกับพรรคเพื่อไทย แกนนำรัฐบาล พุ่งเป้าเปลี่ยนม้ากลางศึก ในช่วงรัฐบาลสั่งคลอนปมคลิปฉาว  ในมิติทางกฎหมายมหาชน รัฐธรรมนูญเปิดช่อง ส.ส.หรือ สว.หรือ องค์กร กกต. ใช้อำนาจในการตรวจสอบสถานะสมาชิกภาพภายหลังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้

 

 

“ดร.ณัฏฐ์” ชี้ กลุ่ม สว.สีน้ำเงิน ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเชือด “แพทองธาร” วืดไม่เข้าเป้า

ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน

 

 

โดยวิธีการ ส.ส.หรือ สว.จำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบ มีสิทธิเข้าชื่อร้องต่อประธานสภาที่ตนเป็นสมาชิกว่าสมาชิกภาพของนางสาวแพทองธาร ชินวัตรนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง(4) ประกอบมาตรา 160 (4) (5) และให้ประธานสภาแห่งนั้น ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย เป็นไปตามกลไกรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสามประกอบรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคหนึ่ง

ดร.ณัฏฐ์ อธิบายว่า รัฐธรรมนูญได้กำหนดหน้าที่และอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญไว้ในมาตรา 210 วรรคหนึ่ง แต่การที่จะรับคดีไว้พิจารณาหรือไม่ เป็นไปตามมาตรา 7 (9) ประกอบมาตรา 41 แห่ง พรป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 

 


    
ในการพิจารณาว่าจะรับคำร้องไว้หรือไม่ เป็นไปตามมาตรา 49 แห่ง พรป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 ศาลจะแต่งตั้งองค์คณะตุลาการไม่น้อยกว่า 3 คน เป็นผู้พิจารณาก็ได้ โดยมีกรอบเวลาให้หน่วยธุรการส่งเรื่องให้คณะตุลาการภายใน 2 วันนับแต่หน่วยธุรการรับคำร้องตามข้อกำหนดศาล โดยให้คณะตุลาการตรวจคำร้องภายใน 5 วันนับแต่วันที่ได้รับเรื่อง หากไม่รับคำร้อง ให้เสนอต่อศาลพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 5 วัน แต่กรณีไม่แต่งตั้งคณะตุลาการ บัญญัติในมาตรา 49 วรรคห้า ให้ศาลพิจารณาแล้วสั่งว่าจะรับคำร้องหรือไม่ภายใน 5 วันนับแต่วันที่หน่วยธุรการศาลได้รับคำร้อง

 


ส่วนศาลจะรับคำร้องหรือไม่ ประเด็นสมาชิกภาพความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง พรป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มิได้มีบทบังคับให้ศาลต้องรับไว้พิจารณาเว้นแต่ประธานวุฒิสภาส่งความเห็นเป็นไปตามมาตรา 41 วรรคสอง (1) - (9) อาทิ  ประธานวุฒิสภาส่งความเห็นของสมาชิกในร่างกฎหมาย-ความชอบด้วยกฎหมาย พรก. ร่าง พรบ.ที่ต้องยับยั้งไว้ ร่างข้อบังคับการประชุม ร่างรัฐธรรมนูญเพิ่มเติม เป็นต้น 

 

ดร.ณัฏฐ์ อธิบายว่า คำร้องจาก สว.กลุ่มสีน้ำเงิน สารตั้งต้นจากพยานวัตถุ เป็น “คลิปลับการสนทนาระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย กับนายฮุน เซน ประธานพฤฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา” ผ่านล่ามกัมพูชา 

 

ประเด็นสำคัญ เนื้อหาการสนทนาทั้งสองฝ่ายผ่านล่าม ส่งผลให้ไทยเสียดินแดนหรือไม่ เป็นสาระสำคัญแห่งคดี ซึ่งจะนำมาพิจารณาว่า จงใจปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่ ซึ่งเกี่ยวข้องคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธารฯ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) (5) 
 

หากฟังเนื้อหาคลิปบทสนทนา 17 นาทีเศษ พบว่า เป็นการพูดคุยเกี่ยวกับผิดข้อตกลงในการเปิดปิดชายแดน ทำให้เกิดความไม่พอใจของฝ่ายนายฮุน เซน อดีตผู้นำกัมพูชาและเป็นบิดาของนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา

 

ดร.ณัฏฐ์ อธิบายว่า ประเทศไทยใช้ระบบรัฐสภา แบ่งอำนาจ 3 ฝ่าย นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ โดยฝ่ายนิติบัญญัติในระบบรัฐสภาเป็นใหญ่  แตกต่างจากระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาที่ฝ่ายบริหารเป็นใหญ่ เหตุเป็นเช่นนี้ เพราะการตรวจสอบถ่วงดุลในการบริหาร กำกับและควบคุมโดยรัฐสภา 

 

สนธิสัญญา ข้อตกลงพรมแดมระหว่างประเทศ รัฐธรรมนูญกำหนดให้รัฐสภามีมติเห็นชอบก่อน ถึงจะผูกพันรัฐ 

 

การพูดคุยในระดับผู้นำหรือตัวแทนของทั้งสองประเทศ จะมีผลผูกพันหรือไม่ ต้องยึดหลักรัฐธรรมนูญ
แม้นางสาวแพทองธารฯ นายกรัฐมนตรี จะไปพูดคุยเจรจาลับอย่างไรในทางการทูต หรือเป็นการรู้จักเป็นการส่วนตัว ย่อมไม่มีผลผูกพันต่อรัฐ เพราะยังไม่ผ่านมติความเห็นชอบจากรัฐสภา 


    
ตามบทสนทนาบางส่วน เป็นการคาดคะเนของกลุ่ม สว.สีน้ำเงิน แม้ พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา ประธาน กมธ.ทหารและความมั่นคงแห่งรัฐ วุฒิสภา แถลงข่าว เล่นใหญ่  แต่เฉพาะอำนาจกรรมาธิการทหารฯ รัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติให้มีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ  จึงใช้กลเกมรวบรวมรายชื่อสมาชิกวุฒิสภาหนึ่งในสิบเข้าชื่อยื่นคำร้องต่อประธานวุฒิสภา มาตรา 82 วรรคหนึ่ง โดยมีเป้าหมายให้นางสาวแพทองธารฯหยุดปฏิบัติหน้าทีและการส่งคำร้องให้ ปปช.เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง เป้าหมายประหารชีวิตทางการเมือง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 235 วรรคหนึ่ง(1),วรรคสี่

 


    
ดร.ณัฏฐ์ อธิบายว่า ส่วนคำว่า “ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” และ “ไม่มีพฤติกรรมฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง” ซึ่งเป็นคุณสมบัติรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160(4) (5)  ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยที่ 21/2567 ในคดีนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ไว้เป็นบรรทัดฐาน


          
คำว่า “ซื่อสัตย์สุจริตหรือไม่”  พิจารณาจากพฤติกรรมการกระทำ “กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา”
          
คำว่า “จริยธรรม” โดยเงื่อนไขได้กำหนดในมาตรฐานจริยธรรม ปี 2561 ในหมวด 1 ข้อ 7 ข้อ 8 ข้อ 9 และข้อ 27  โดยให้ถือว่าฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง

    

 


บทสนทนาที่ถูกนำมาเปิดเผย “ไม่อยากให้ uncle (อา/ลุง) ไปฟังคนที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับเรา เพราะพอฝั่งตรงข้ามอย่างแม่ทัพภาคสอง เป็นคนของฝั่งตรงข้ามหมดเลย ซึ่งพอเป็นฟังนั้น ทำให้ท่านไม่สึกไม่ชอบใจหรือโกรธ เพราะจริงๆไม่ใช่ความตั้งใจของเราเลย เพราะทางนั้นเขาอยากจะดูเท่ห์ เขาจะพูดอะไรออกมาไม่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ จริงๆเราต้องการ คือความต้องการสงบสุขให้เกิดขึ้นเหมือนตอนก่อนที่จะปะทะกันตรงชายแดน”  หากฟังทั้งหมด ไม่มีเนื้อหาส่วนใด ทำให้เสียอาณาเขต 

แต่การสนทนาพูดคุยถึงฝ่ายปฏิปักษ์ทางการเมือง แม้ภายหลังนางสาวแพทองธารฯจะแก้ตัวว่า คำว่า ฝ่ายตรงข้าม หมายถึง ไทย-กัมพูชา ฝ่ายตรงข้ามก็ตาม และเหตุผลที่พูดคุยเป็นเทคนิคการเจรจาประการหนึ่งในเชิงขอร้องประนีประนอมและประเด็นเปิดปิดด่าน ยังไม่ได้ตกลงด้วยเพราะต้องไปหารือในส่วนที่เกี่ยวข้อง”หากพิจารณาเนื้อหา หว่านล้อม ปรับทุกข์ โดยไม่มีข้อความใด ระบุ นางสาวแพทองธารฯ อนุญาตหรือยินยอมให้กัมพูชารุกล้ำเขตชายแดนไทย 
    

ดร.ณัฏฐ์ อธิบายว่า กลยุทธ์การพูดคุย ไม่ถึงขนาดนำความลับของชาติมาเปิดเผย เป็นข้อเท็จจริงที่ไกลเกินกว่าเหตุ แม้จะมีพฤติกรรมหว่านล้อม โดยภายหลังอ้างว่า เป็นการพูดคุยกันส่วนตัวเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศก็ตาม โดยวิธีการเจรจาพูดคุยไม่ต้องการสงคราม โดยเฉพาะฝ่ายกัมพูชายื่นคำร้องต่อศาลโลกให้พิจารณา แต่หากฟังการสนทนามุ่งให้เปิดพรมแดนให้เวลาตรงกัน โดยฝ่ายกัมพูชายอมถอนกำลังทหารแลกเปิดด่าน แต่ภายหลังไม่ยอมทำตามข้อตกลง


    
ข้อเท็จจริงเพียงเท่านี้ ยังไม่อาจรับฟังการกระทำโดยจงใจปฏิบัติหน้าที่โดยไม่สุจริตและยังไม่อาจถึงเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 219 ประกอบ พรป.ปปช.มาตรา 172 และมาตรฐานจริยธรรมฯปี 2561 หมวด 1 ที่นำมาใช้กับคณะรัฐมนตรีด้วย
    
ส่งผลให้คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามความเป็นรัฐมนตรี ยังไม่สิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160(4)(5)ประกอบมาตรา 170 วรรคหนึ่ง(4) ,มาตรา 167(1)
            
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8575/2563  วินิจฉัยว่า การแอบบันทึกข้อความการสนทนาทางโทรศัพท์ เป็นการกระทบการเทือนต่อสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล เป็นการแสวงหาพยานหลักฐานโดยมิชอบ ต้องห้ามมิให้ศาลรับฟัง ตาม ป.วิอาญามาตรา 226 เป็นบทตัดพยานหลักฐานของเจ้าพนักงานของรัฐเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน มิให้เจ้าพนักงานของรัฐแสวงหาพยานหลักฐานโดยมิชอบ แต่ ป.วิอาญามาตรา 226 ไม่ได้บัญญัติห้ามมิให้นำไปใช้กับการแสวงหาพยานหลักฐานของบุคคลธรรมดา 

จึงนำไปใช้กับผู้เสียหายที่เป็นเอกชนได้ พยานหลักฐานที่แสวงหาได้มาโดยมิชอบ รับฟังได้หรือไม่ ตาม ป.วิอาญามาตรา 226/1 เป็นบทยกเว้นให้ศาลใช้ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบ กรณีละเมิดสิทธิบุคคลมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองสิทธิประชาชน จึงรับฟังอย่างระมัดระวังและต้องพิจารณาถึงพฤติการณ์ทั้งปวงแห่งคดีโดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆที่กฎหมายกำหนดไว้ โดยพิจารณาผลเสียที่กระทบระบบงานยุติธรรมทางอาญาหรือสิทธิของประชาชนมากกว่า บันทึกการสนทนาและข้อความถอดเทปไม่อาจรับฟังได้ ตาม ป.วิอาญา มาตรา 226 ประกอบมาตรา 226/1”
    

ดร.ณัฏฐ์ อธิบายว่า  การที่นางสาวแพทองธารฯ ยอมรับเสียงว่า เป็นของตนเอง แต่ถูกตัดต่อ ตัดทอนข้อความเพื่อประโยชน์การเมืองระหว่างประเทศ สร้างคะแนนนิยมให้แก่ตนเอง  เป้าหมายเพื่อบีบบังคับให้เปิดพรมแดนติดต่อกัน ย่อมเป็นการได้มาซึ่งพยานหลักฐานโดยมิชอบ และเป็นการนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ตาม พรบ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14(1) การรับฟังคลิปบทสนทนา จึงทำให้มีน้ำหนักน้อย  มีผลต่อการที่ศาลรัฐธรรมนูญจะสั่งให้นางสาวแพทองารฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 วรรคสอง โอกาสน้อยเพราะศาลต้องพิจารณาจากเนื้อหาแห่งคำร้องและความที่ปรากฎ
    
ข้อเท็จจริงตามคำร้องยังไกลเกินเหตุ บทคลิปสนทนามีน้ำหนักรับฟังน้อย แต่พฤติกรรมพูดจาหวานล้อม เป็นเพียงเทคนิคการเจรจา ไม่ได้มีเจตนาสร้างความแตกแยกภายในประเทศและไม่มีเจตนานำความลับไปขายหรือส่งผลให้ไทยเสียดินแดน พฤติกรรมยังไม่เข้าเกณฑ์เป็นการจงใจใช้อำนาจทำให้เสียหายแก่รัฐ ไม่ได้มีเจตนาเล็งเห็นผลว่า ทำให้รัฐเกิดความเสียหายจึงไม่เข้าเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ คำว่า “ขาดความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ” และไม่มีพฤติกรรมฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160(4)(5) ประกอบมาตรา 170 วรรคหนึ่ง(4) และมาตรา 167(1)
    

ดร.ณัฏฐ์ อธิบายว่า อีกประเด็นหนึ่ง นายมงคลฯประธานวุฒิสภา ส่งคำร้องให้ ปปช.ไต่สวนเพื่อให้ดำเนินคดีอาญาและละเมิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง เป้าหมาย ถูกเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง ประหารชีวิตทางการเมือง แต่หากฟังได้ว่า ไม่ได้จงใจใช้อำนาจโดยมิชอบ อันเป็นการกระทำฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ หากศาลรัฐธรรมยกคำร้องหรือไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัย ข้อกล่าวหาร้ายแรงที่ยื่น ต่อ ปปช.ย่อมตกไปเช่นกัน   
    

 

กรณีนายไพศาล พืชมงคล เผยข้อมูลว่าให้จับตามศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ ลีลามือกฎหมายชั้นครู ฟากกลุ่มสีน้ำเงิน เขียนคำร้องชั้นยอดคิดอ่านวางแผนนั้น
           

 

ดร.ณัฏฐ์ อธิบายว่า ขอให้พี่น้องประชาชนฟังข่าวสารอย่างมีสติ ให้ยึดหลักกฎหมาย อย่าไปหลงเชื่อสิ่งที่คาดคะเน ไม่ตรงต่อความเป็นจริง เพราะองค์คณะศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาคดียึดหลักกฎหมายและความเป็นธรรมทุกฝ่าย ทั้ง คำว่า “หากปรากฏอันควรสงสัยว่าผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้อง” เป็นเกณฑ์ในการสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 วรรคสอง จะต้องปรากฎพยานหลักฐานชัดแจ้งมีน้ำหนักพอควร  

 

แม้กลุ่ม สว.สีน้ำเงินใช้ช่องนี้ กลเกมรัฐธรรมนูญแก้เกม แต่คดีร่วมกันทุจริตการเลือก สว. ทั้งนายมงคล ฯประธานวุฒิสภา ถูกกล่าวหาทุจริตการเลือก สว.เช่นกัน เนื้อหาแห่งคำร้องเป็นกรณีปฏิปักษ์ต่อกัน เป็นการขว้างงูไม่พ้นคอ