
21 มิถุนายน 2568 ต้องยอมรับว่า กรณีคลิปเสียงอันอื้อฉาว ระหว่าง ฮุนเซน ประธานองคมนตรี สนทนากับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กลายเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ทางการเมือง พร้อมที่จะทำให้รัฐบาลแพทองธาร สิ้นสลายได้ทุกเมื่อ อยู่ที่ว่า ผู้นำหญิงรายนี้จะปลดชนวนแต่ละปมร้อนได้หรือไม่
ทั้งกระแสความไม่ไว้วางใจพี่น้องประชาชนต่อนายกฯ ที่ส่งผลไปถึงความนิยมพรรคเพื่อไทย ที่เป็นพรรคแกนนำรัฐบาล จะกอบกู้ฟื้นคืนได้หรือไม่
รวมไปถึงการเคลื่อนไหวของมวลชนจากหลากหลายพื้น ที่นัดรวมตัวขับไล่รัฐบาล โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายน นี้เป็นต้นไป
ไม่เพียงเท่านั้น การขับเคลื่อนของกลุ่มคน ด้วยการยื่นคำร้องผ่าน กกต. -ป.ป.ช.-ศาลรัฐธรรมนูญ ในการใช้ตัวบทกฎหมายรัฐธรรมนูญเอาผิด "นายกรัฐมนตรี" ดังปรากฎให้เห็นจากกรณีที่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ยื่นหนังสือต่อ กกต.ขอให้ตรวจสอบ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า มีความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ อันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 160(4) หรือไม่ และเข้าข่ายเป็นเหตุให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 170(4) หรือไม่ จากกรณีมีการเผยแพร่คลิปเสียงสนทนากับสมเด็จ ฮุนเซน ตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา และยังมีกลุ่มสว. รวมตัวยื่นประธานสว.ให้ยื่นคำร้อง ต่อ ป.ป.ช. - ศาลรัฐธรรมนูญถอดถอนนายกรัฐมนตรี
มิพักกล่าวถึง กรณีที่ ป.ป.ช.รับเรื่องไต่สวน ปมการโยกงบ ธนาคารรัฐ วงเงิน 35,000 ล้านบาท ไปใส่ไว้ในงบกลางเพื่ออาจจะนำไปใช้ในโครงการแจกเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ว่าอาจเข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 144
รัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสอง กำหนดห้ามไม่ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) สมาชิกวุฒิสภา (สว.) หรือกรรมาธิการ (กมธ.) แปรญัตติหรือการกระทำการใดที่ทำให้สส สว. กมธ. มีส่วนในการใช้งบประมาณรายจ่ายไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม
มาตรา 144 วรรคสาม ยังกำหนดอีกว่า หาก สส. สว. พบการกระทำที่ขัดต่อมาตรานี้ สามารถเสนอความเห็นให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาได้ โดยทางการเมืองมีการประเมินว่า หากศาลรธน.ชี้ออกมาเป็นผลลบอาจถึงขั้นต้อง สส. สว.สิ้นสภาพหรือล้างสภากันไปเลยทีเดียว
โดยกระบวนการในส่วนนี้ อาจกล่าวได้ว่า เป็นการเปิดฉากนิติสงครามรอบใหม่เข้าใส่ผู้นำที่ชื่อ แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งแต่ละชนวนร้อน อยู่บนเงื่อนเวลาว่าเรื่องใดจะมาก่อน ใช้เวลามากน้อยแค่ไหน ในการพิจารณาคดี และจะมีผลให้รัฐบาลแพทองธารได้ไปต่อหรือต้องสะดุดหยุดลง
แต่อย่างไรก็ตาม จากท่าทีล่าสุดของนายกฯแพทองธาร และพรรคร่วมรัฐบาลที่เหลืออยู่ มีความพยายามจะปรับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ พอจะบ่งบอกสัญญาณได้ว่า นายกฯแพทองธาร ยังมีความต้องการลุยไฟไปต่อ
การไปต่อ ของนายกฯแพทองธาร นอกจากต้องฝ่าสมรภูมิลุยไฟดังที่กล่าวข้างต้นแล้ว ก็ยังมีอีกสถานการณ์หนึ่งที่จะเกิดขึ้นหลังเปิดสภาสมัยสามัญ ในวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ นั่นคือ กลไกทางนิติบัญญัติที่รอเวลาเผด็จศึก"นายกรัฐมนตรี" ผ่านเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯนั่นเอง
เมื่อเร็วๆนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นผ่านเฟซบุ๊ค Chaiyan chayaporn ไว้อย่างน่าสนใจ โดยอาจารย์ไชยันต์ ตั้งหัวข้อว่า เมื่อเปิดประชุมสภาฯ มีกลไกอะไรที่จะทำให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของ แพทองธาร จะสิ้นสุดลงได้ ?
1. สภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่ไว้วางใจ
ในกรณีที่นี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมด เท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร เข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ คือ 98 คน ( สส ทั้งหมดในสภามี 493 /ตัวเลข ณ วันที่ 26 มีนาคม 2568)
ถ้าพรรคประชาชนต้องการให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีย่อมทำได้ เพราะพรรคประชาชนมี สส.เกิน 100
ในช่วงที่เสนอญัตติได้แล้ว นายกรัฐมนตรีจะยุบสภาไม่ได้
แต่ถ้าหลังลงมติไม่ไว้วางใจแล้ว ถ้าเสียงไม่ไว้วางใจไม่เกินครึ่ง หมายความว่า แพทองธาร ยังเป็นนายกฯ อยู่ เธอจะยุบสภาก็ได้
การที่กำหนดไว้แบบนี้ เพื่อขู่ สส. ที่เสนอญัตติไม่ไว้วางใจให้คิดดีๆว่า ถ้านายกรัฐมนตรีได้เสียงไว้วางใจ ระวังนะ นายกรัฐมนตรีจะยุบสภา พา สส. ทุกคนพ้นสภาพ ไปเลือกตั้งกันใหม่หมด ซึ่งในกรณีนี้ แพทองธาร คงไม่ยุบแน่
แต่อาจมีผู้สงสัยข้อความในรัฐธรรมนูญที่ว่า การเสนอญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจสามารถทำได้ “ปีละหนึ่งครั้ง” เพราะเพิ่งมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจไปแล้วระหว่างวันที่ 24-26 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมานี้เอง
การนับปีสมัยประชุมสภาฯ ไม่ใช่นับตามปฏิทินปกติ อย่างหลังเลือกตั้งในปี 2566 จะเริ่มนับปีประชุมสภาฯ ดังนี้
ปีที่หนึ่ง (แต่ละปีจะแบ่งการประชุมออกเป็นสองครั้ง มีพักระหว่างแต่ละครั้ง )
ครั้งที่หนึ่ง เริ่มตั้งแต่ 3 ก.ค. 2566 – 3 ต.ค. 2566
ครั้งที่สอง 12 ธ.ค. 2566 – 9 เมษา. 2567
ปีที่สอง ครั้งที่หนึ่ง 3 ก.ค. 2567 – 30 ต.ค. 2567 ครั้งที่สอง 12 ธ.ค. 2567 – 10 เมษา. 2568
ปีที่สาม ครั้งที่หนึ่ง 3 ก.ค. 2568 – 30 ต.ค. 2568
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งล่าสุดจะอยู่ในช่วงปีที่สอง
เมื่อขึ้นปีที่สาม ซึ่งจะเปิดประชุมสภาในวันที่ 3 กรกฎาคมที่จะถึงนี้ จึงสามารถขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้
ประเด็นคือ หากนายกรัฐมนตรีไม่ยอมลาออก และไม่ยอมยุบสภา เพราะยังมีเสียงสนับสนุนเกินครึ่งสภา พรรคประชาชนอาจจะขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้
และเมื่อถึงเวลานั้น ประชาชนก็รอดูกันว่า จะมี สส คนใดที่ยังไว้วางใจนายกฯแพทองธาร และด้วยเหตุผลอะไร หรือไม่มีเหตุผล !
ถ้านายกฯถูกลงมติไม่ไว้วางใจ ความเป็นนายกรัฐมนตรีก็จะสิ้นสุดลงทันที และไม่ว่าใครจะมารักษาการ ก็ไม่สามารถยุบสภาได้ตามที่พรรคประชาชนต้องการ เพราะรักษาการฯไม่สามารถยุบสภาได้ แต่จะต้องมีการสรรหานายกฯใหม่ หากได้นายกฯใหม่แล้ว นายกฯใหม่ก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะยุบสภา !
แต่ถ้านายกฯใหม่ไม่ได้ ก็จะเกิดทางตันขึ้น และจะต้องไปใช้บริการ มาตรา 5 เพื่อจะให้มีการยุบสภา หรือ ให้ได้นายกรัฐมนตรีเสียงข้างน้อย เพื่อทำหน้าที่ที่สำคัญต่อไปสักพัก และรีบยุบสภา
ส่วนในกรณีอื่นๆ เช่นขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม อันได้แก่-ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ หรือ -มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง หรือความผิดในมาตราอื่นๆของรัฐธรรมนูญ รวมถึงการใช้ มาตรา 153 โดยสมาชิกวุฒิสภา ยังอยู่ในระหว่างการดำเนินการ