
16 มิถุนายน 2568 ที่ทำการพรรคภูมิใจไทย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายไชยชนก ชิดชอบ สส.บุรีรัมย์ และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย เข้าร่วมประชุมพรรคประจำสัปดาห์ โดยผู้สื่อข่าวได้พยายามสอบถามประเด็นที่ กกต. ออกหมายเรียกให้รับทราบข้อกล่าวหา กรณีคดีฮั้วเลือก สว. ล็อต 7 โดย นายไชยชนก เดินผ่านวงผู้สื่อข่าว และกล่าวว่า “ในที่นี้ไม่มีใครสนใจเรื่องน้ำท่วม เรื่องชายแดน โรคระบาดเลยหรือ ขณะนี้ประชาชนเดือดร้อนอยู่นะจ๊ะ”
เมื่อถามถึงการไปรับทราบข้อกล่าวหา นายไชยชนก กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ถูกหลายสำนักข่าวบิดเบือนคำพูด จึงไม่ให้สัมภาษณ์ ไม่ใช่เพราะกลัวสื่อ ขอร้องว่าหากให้สัมภาษณ์ จะขอฝากเรื่องที่เป็นประโยชน์ไปให้กับประชาชนด้วย
จากนั้นสื่อได้ถามย้ำถึงการเข้ารับทราบข้อกล่าวหา นายไชยชนก ยอมรับว่า ได้รับหมายเรียกจาก กกต. แล้ว และตนเป็นผู้ลงชื่อรับให้ นายอนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และผู้ใหญ่ภายในพรรค อีกด้วย ส่วนการชี้แจงก็จะไปด้วยตัวเอง และขอให้ปล่อยเป็นไปตามกระบวนการกฎหมาย
ส่วนรายละเอียดเนื้อหาในข้อกล่าวหาที่ กกต. แจ้งนั้น เท่าที่ได้อ่านทั้งของตัวเองและของผู้อื่นที่ถูกกล่าวหา เหมือนกับถูกการคัดลอก-วาง ดูไม่ค่อยเจาะจง และเป็นไปตามคำกล่าวหาปกติ และกล่าวถึงการพาดพิงหญิงรายหนึ่ง ที่ระบุว่าตนได้รับผลประโยชน์จากการฮั้ว สว. 400 ล้านบาท แต่การยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. ก็มีไม่ถึงแล้ว ซึ่งในช่วงกระบวนการเลือก สว. ตนก็ไม่ได้อยู่ที่ประเทศไทย ไปดูงานกับคณะกรรมาธิการที่ประเทศเอสโตเนีย จึงมองว่ามีความไม่จริงเยอะ แต่อยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการ และเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไร
เมื่อถามต่อว่า ได้พูดคุยกับ นายเนวิน ชิดชอบ บิดา แล้วหรือยัง นายไชยชนก ระบุว่า ไม่มีอะไรต้องคุย ตนไม่มีส่วนร่วมแน่ๆ ที่จะส่งผลให้การเลือก สว. ออกเป็นแบบไหน ก็สงสัยว่าทำไมเราอยู่ในสังคมแบบไหน เพราะทุกวันนี้หัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค ได้กำชับไว้อยู่แล้วว่าอย่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการดังกล่าว พร้อมย้ำว่า ตนเป็นคนไม่ทำเหนือกฎหมาย เคยใช้สิทธิ์พิเศษเพียงอย่างเดียวคือตอนเป็นทหาร ที่ขอไปอยู่ชายแดนทุกที่ บวชเกือบไม่สึก และทุกวันนี้ก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของประชาชน แม้กระทั่งในสถานการณ์ที่ถูกบิดเบือนโจมตี
จากนั้น นายไชยชนก กล่าวขอบคุณสื่อมวลชน ที่ได้เผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และเกี่ยวข้องกับภัยพิบัติ สถานการณ์โลกให้กับประชาชนได้รับทราบ หลังจากที่ตนได้ร่วมอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร
นายไชยชนก ยังกล่าวทิ้งท้ายอีกว่า ไม่รู้ว่าพวกพี่รู้ตัวหรือไม่ แต่ตนเห็นว่าสื่อมวลชนมีส่วนสำคัญในการกำหนดทิศทางของประเทศไม่น้อยกว่ารัฐบาล สิ่งที่สื่อสารออกไปเป็นสื่อที่ไม่ใช่แค่เยาวชน แต่คนทุกเพศทุกวัยจะใช้ข้อมูลได้รอบได้ หากสื่อมวลชนสื่อออกไปยุแยงสร้างความแตกแยกสังคม เราก็จะไปในทิศทางนั้น ฉะนั้นตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องเผชิญร่วมกันต้องใช้ความสามัคคี