
กลายเป็นประเด็นให้วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง เกี่ยวกับระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ “บัตรทอง 30 บาท” กำลังเผชิญภาวะวิกฤต แถมมีข้อมูลออกมาอย่างต่อเนื่องรพ.รัฐหลายแห่งกำลังประสบภาวะขาดทุน ประเด็นปัญหาเหล่านี้ มีข้อเท็จจริงอย่างไรกันแน่
8 มิถุนายน 2568 เย็นวานนี้ (6 มิ.ย.68) ผู้บริหารเครือเนชั่นได้มีโอกาสต้อนรับ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (เลขา สปสช.) และคณะ เพื่อซักถามข้อมูลข้อเท็จจริงในเรื่องนี้
นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (เลขา สปสช.)
นพ.จเด็จ บอกว่า ก่อนเดินทางมาที่เนชั่น เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมคณะกรรมการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บอร์ด สปสช. ที่มี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ในฐานะประธาน บอร์ด สปสช. ที่ประชุมมีมติหลายเรื่องที่น่าสนใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องงบ 30 บาทรักษาทุกที่ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่า จะล้มละลายนั้น ในที่ประชุมได้มีการพูดคุยและเห็นแล้วว่า กองทุนมีความมั่นคงมาก แต่เพื่อทำให้ประชาชนเกิดความมั่นใจมีมติว่า จะสร้างระบบตรวจสอบที่เป็น มาตรฐานที่สุดเพื่อให้เกิดความเข้มแข็งและพัฒนาแบบเดินหน้าต่อไปได้
ทั้งนี้ จะมีการจัดจ้างหน่วยงานภายนอกตรวจสอบการบริหารและการใช้จ่ายงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (กองทุนบัตรทอง) ซึ่งเป็นบริษัทภาคเอกชนที่เชี่ยวชาญในการตรวจสอบระบบและการบัญชีระดับโลกรวม 4 บริษัท หรือที่เรียกว่ากลุ่ม "บิ๊กโฟร์"
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา กรณีผู้ป่วยนอกกระทรวงสาธารณสุขรับในปีงบประมาณที่แล้ว 306 ล้านครั้ง คนหนึ่งเข้าออกโรงพยาบาลมากกว่าหนึ่งครั้ง โดย สปสช.ใช้บริการกระทรวงสาธารณสุข 240 ล้านครั้ง
ดังนั้น สธ.มีรายได้จาก 30 บาทรักษาทุกที่ และได้จากราชการกองทุนประกันสังคมและอื่นๆ ฉะนั้น ตัวเลขที่ได้มาจะผสมผสานดูแล้วโรงพยาบาลที่ขาดทุน มี 13 แห่งมั่นใจว่า ไม่ใช่เรื่องการให้บริการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติแต่อาจเป็นเรื่องอื่น ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ โดยจะลงพื้นที่ไปที่ รพ.ขอนแก่น อีกด้วย ซึ่งจากข้อมูล เป็นโรงพยาบาลที่มีตัวเลขขาดทุนมากที่สุด เพื่อไปดูให้เห็น และปรับปรุงแก้ไขตรงนี้หรือไม่อย่างไร
นพ.จเด็จ กล่าวว่า อาจมีข่าวส่วนหนึ่งที่ รพ.บางส่วน อาจรู้สึกว่า เงินสดตนเองเทียบกับหนี้สินติดลบทำให้กังวลว่า อาจจะทำให้ระบบบัตรทองล่มหรือไม่ เรื่องนี้ได้ทำเข้า บอร์ด สปสช. เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. โดยได้มีการพูดคุยข้อมูลกันว่า
ส่วนที่มีประเด็นนี้เข้ามา ยืนยันว่า งบประมาณที่รัฐดูแลอยู่มีการเพิ่มขึ้นทุกปี ให้ความมั่นใจว่างบจัดสรรมีการเพิ่มเติมเข้ามา ส่วนปัญหารพ.บางส่วน คณะกรรมการหลักประกันฯ ได้มีการตรวจสอบเบื้องต้น อาจมีข้อมูลที่ไม่ตรงกันในแง่ของการตีความข้อมูลและการนำข้อมูลมาใช้ ตัวอย่าง ถ้าเรารวมข้อมูลทั้งเงินสดบวกกับจำนวนลูกหนี้ที่เราเก็บได้บวกกับสินค้าคงคลังที่มีลบหนี้สิน จำนวนรพ.ที่มีปัญหา มี 13 แห่ง จากที่มีข่าว 218 แห่ง ซึ่งเรื่องนี้ รมว.สาธารณสุข จะลงพื้นที่ไปดูเพิ่มเติมอีกครั้ง
นอกจากนี้ บอร์ด สปสช. อนุมัติเห็นชอบบริษัทเอกชนที่เป็นกลางเข้ามาตรวจสอบระบบ เพราะว่าจะมีความกังวลทั้งหน่วยบริการ หรือระบบต่างๆ ซึ่งบริษัทที่จะมาดูเป็นบริษัทชั้นนำในการตรวจสอบโดยตรวจสอบตั้งแต่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ดูเรื่องการจัดสรรงบประมาณ การกระจายงบประมาณต่างๆ หน่วยบริการต่างๆที่รับงบประมาณจากสปสช. นอกจากนั้นดูว่า จะมีข้อเสนอในการปรับปรุงอย่างไร ซึ่งจะใช้ตามภาษาอังกฤษเรียกว่า บิ๊กโฟร์ ในการที่จะเข้ามาดู
อีกส่วนหนึ่ง รพ.อาจมีความกังวล ต้นทุนสูงแล้วสปสช.อาจจ่ายต่ำ ก็จะมีการตั้งคณะกรรมการอีกชุดหนึ่งไม่เพียงดูระบบหลักประกัน แต่จะดูทุกระบบเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมระหว่างระบบและหน่วยบริการด้วย ซึ่งแน่นอนระบบใดระบบหนึ่งจ่ายน้อยไปสูงไปจะมีผลต่อบริการของผู้ป่วยด้วย
ทั้งนี้ รมว.สาธารณสุข ยืนยันว่า สปสช.ไม่ได้มีปัญหาในภาพใหญ่ แต่เป็นปัญหาที่จะเข้าไปดูแลได้ จึงขอความมั่นใจจากประชาชนอาจมีความกังวล ระบบสามสิบบาทจะล่มหรือไม่ จะมีผลต่อบริการหรือไม่ ก็คงยืนยันว่า ยังคงมีบริการตามปกติ
อีกเรื่องที่นับว่าเป็นมิติใหม่ เพื่อให้เกิดการตรวจสอบร่วมกัน สปสช. ได้มีการผลักดันให้เปิดเผยข้อมูลการเบิกจ่ายงบให้กับหน่วยบริการ รพ. คลินิกต่างๆ เป็นอย่างไร ให้บริการ และมีการร้องเรียน โดยประชาชนสามารถเข้าไปตรวจดูรายชื่อรพ.ที่ถูกร้องเรียนและการให้บริการได้
โดยส่วนใหญ่จ่ายทุก 15 วัน ประชาชนสามารถดูในเว็ปไซต์ "สปสช." ได้ และแต่ละปีจ่ายไปเท่าไหร่ จ่ายให้หน่วยบริการหลายพันหน่วยอย่างไรบ้าง ในอนาคตจะขยายการสื่อสารเพิ่มขึ้น
กรณีมีการร้องเรียนมาก ต้องขออนุญาตว่าจะสื่อสารประชาชน เพราะมีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกหน่วยของตนเอง ในการใช้บริการ ถ้าหน่วยนั้นเป็นที่นิยม แล้วมีบริการที่ดีจะเลือก จะมีการเปิดเผยในส่วนนั้น เรื่องร้องเรียนจะทยอยเปิด