
ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติเสียงข้างมาก 322 เสียง ต่อ 158 เสียง งดออกเสียงไม่ลงคะแนน 2 เสียง รับหลักการร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2569 ที่คณะรัฐมนตรี ได้เสนอต่อประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาในวาระแรก พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ขึ้นมาชุดหนึ่ง จำนวน 73 คน เพื่อพิจารณาปรับแก้ในชั้นกรรมาธิการฯ ก่อนเสนอกลับมายังสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาอีกครั้งในวาระที่ 2 และ 3
ขณะที่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ขอบคุณสภาผู้แทนราษฎร ที่ได้ร่วมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2569 ซึ่งยืนยันว่า รัฐบาลได้นำเสนอด้วยความตั้งใจ และตระหนักถึงข้อจำกัดวงเงินงบประมาณรายจ่าย มาตรการกีดกันการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก สภาพภูมิรัฐศาสตร์ และสภาวะเศรษฐกิจโลก รวมถึงสภาวะเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งมีผลกระทบ แต่ก็จะสามารถขับเคลื่อนประเทศให้ไปต่อได้ด้วยนโยบายที่รัฐบาลได้เสนอต่อสภา และหวังว่า งบประมาณที่รัฐบาลได้เสนอ จะสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกคน พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลตั้งใจใช้งบประมาณเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยคำนึงถึงการจัดสำดับความสำคัญ เพื่อรองรับปัญหาเร่งด่วน และเสริมสร้างศักยภาพทุนมนุษย์ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และสนับสนุนการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ชาติ
นายกรัฐมนตรี ยังยืนยันว่า การจัดทำร่างงบประมาณครั้งนี้ มุ่งฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำทุกมิติ สร้างคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างทั่วถึง และเป็นธรรม มุ่งเน้นการรักษาวินัยการเงินการคลัง พร้อมยังขอให้คณะกรรมาธิการฯ ที่สภาผู้แทนราษฎรได้มีการตั้งขึ้นนั้น ได้นำข้อคิดเห็น และข้อสังเกตของสภาผู้แทนราษฎร ไปพิจารณาปรับแก้โดยละเอียด และครบถ้วนต่อไป
นายกรัฐมนตรี ยังระบุว่า ท่ามกลางสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งด้านการเมือง และเศรษฐกิจทั่วโลก ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจทั่วโลก และที่ตนเองเดินทางไปต่างประเทศ ได้พบเจอกับผู้นำต่างประเทศมากมาย ก็ยอมรับว่า ได้รับผลระทบในแง่มุมที่ต่างกันไป แต่หลายประเทศก็พร้อมร่วมมือและช่วยกัน พร้อมเห็นว่า ความเปลี่ยนแปลงปัจจุบัน เป็นเรื่องท้าทายในการกำหนดทิศทาง หรือหาข้อสรุปอย่างใดอย่างหนึ่งให้เป็นคำตอบที่ชัดเจน แต่ตนเองก็ยืนยันว่า รัฐบาลชุดนี้จะทุ่มเทแรงกาย และแรงใจในการทำนโยบาย ทุกนโยบาย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้สำเร็จเป็นรูปธรรม ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ประชาชน ขยายโอกาส และใช้เม็ดเงินจากร่างพระราชบัญญัติงบประมาณฯ ฉบับนี้ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน และทราบดีว่า ประชาชนไม่ได้ส่งให้พรรคเพื่อไทยมาทำเรื่องง่าย ๆ รัฐบาลทำหน้าที่บริหาร และฝ่ายค้าน ทำหน้าที่ตรวจสอบ หากทั้ง 2 ฝ่าย มุ่งเน้นผลประโยชน์ประชาชนเป็นหลัก ตนก็มั่นใจว่า จะสามารถทำให้ประเทศผ่านวิกฤตไปได้ และสามารถเห็นผลสำเร็จร่วมกันได้
ด้าน นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยืนยันว่า ตนเองรับทราบความห่วงใย การท้วงติง และข้อเสนอของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้น ตนจึงเห็นด้วยว่า กรรมาธิการฯ ที่สภาฯ จะมีการตั้งขึ้นจะต้องพิจารณาอย่างละเอียด เพื่อให้งบประมาณเกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจจริง หรืองบประมาณส่วนใดที่สามารถลด และเลื่อนได้ พร้อมยังชี้แจงถึงงบประมาณ 157,000 ล้านบาท ที่รัฐบาลได้โยกจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3 และงบกลางในปีงบประมาณ 2569 วงเงิน 25,000 ล้านบาท โดยมั่นใจว่า ยอดทั้งหมด จะได้รับการทบทวนอีกครั้ง ซึ่งงบประมาณ 157,000 ล้านบาท หลายโครงการยังเป็นเพียงการโครงการคำของบประมาณ และยังจะต้องมีการพิจารณาอีกครั้ง เพื่อให้งบประมาณดังกล่าว เกิดการจ้างงานจริง ๆ และแม้ระยะเวลาคำของบประมาณจะสั้น แต่สภาพัฒน์ฯ และสำนักงบประมาณ ได้เตรียมการพิจารณาไว้ล่วงหน้าแล้ว