
26 พฤษภาคม 2568 ภาพที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ หรือคนเสื้อเหลือง กอดกับ นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตประธาน นปช. หรือ คนเสื้อแดง กลายเป็นภาพประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่สร้างกระแสวิจารณ์อย่างกว้างขวางภาพหนึ่ง จึงสมควรนำมาให้ผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ ถอดรหัสเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งในทางวิชาการ พร้อมวัดปรอทความรู้สึกนิสิตนักศึกษา ในฐานะคนรุ่นใหม่ เพราะนักวิชาการอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย จึงรับรู้รับทราบอารมณ์ความรู้สึกเป็นอย่างดี
และที่ขาดไม่ได้คือ มุมมองทางความมั่นคง ประเทศไทยกำลังจะมี “ม็อบลงถนน” ในเร็ววันนี้แล้วหรือไม่?
รศ.ดร.ฐิติวุฒิ บุญยวงศ์วิวัชร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เสนอมุมมองว่า นัยทางการเมืองของภาพนี้ สะท้อนชัดอยู่ประเด็นหนึ่ง ซึ่งเป็นประเด็นหลักที่ไม่มีใครเถียงเลย ก็คือ ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวรในทางการเมือง
ส่วนผลในแง่ความมั่นคง อาจารย์ฐิติวุฒิ บอกว่า อาจจะมีในแง่ของผลกระทบด้านความมั่นคงของรัฐบาล แต่หากมองภาพใหญ่คือเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งหมายถึงว่าจะมีความเกี่ยวพันกับวิกฤตต่างๆ ที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่ เห็นว่าสถานการณ์ปัจจุบันหากเสถียรภาพทางการเมืองมีปัญหา จะส่งผลกระทบต่อการรับมือกับวิกฤตต่างๆ โดยเฉพาะวิกฤตเศรษฐกิจ และวิกฤตภัยพิบัติทางธรรมชาติ และแน่นอนว่า สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ความมั่นคงของรัฐบาล เป็นส่วนสำคัญของเสถียรภาพทางการเมืองนั่นเอง
เมื่อให้ประเมินถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดม็อบลงถนน และการชุมนุมขนาดใหญ่ อาจารย์ฐิติวุฒิ บอกว่า ดัชนีชี้วัดที่เป็นปัจจัยสำคัญที่สุด คือ การเมืองในระบบรัฐสภาสามารถจัดการปัญหาทางการเมืองได้หรือไม่ หากจัดการไม่ได้ ก็จะถึงเงื่อนไขม็อบลงถนน
เมื่อถามว่า หากใช้ทฤษฎีหรือหลักคิดเดียวกัน คือ การเมืองไม่มีมิตรแท้ และศัตรูถาวร แปลว่าในอนาคตอันใกล้ สีแดงกับสีน้ำเงิน อาจกลับมาจูบปากกันก็ได้ ใช่หรือไม่
อาจารย์ฐิติวุฒิ ตอบคำถามนี้ว่า การเมืองคือความเคลื่อนไหว หากทุกอย่างหยุดนิ่ง ก็หมายความว่าไม่ใช่การเมือง ฉะนั้นหากแดงกับน้ำเงินจะจูบปากกัน ก็ถือว่าไม่ผิดปกติ และอาจเป็นไฟต์บังคับในการร่วมมือกันฝ่าวิกฤตม็อบนอกสภาก็อาจเป็นได้
แหล่งข่าวซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในหน่วยงานความมั่นคง เผยว่า การจับมือกันของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล กับ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ซึ่งเคยเป็นผู้นำการชุมนุมคนละฝ่ายนั้น ทางศูนย์ประสานงานข่าวกรอง ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางที่ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลการข่าว
ทั้งจากหน่วยข่าวทหาร ตำรวจ และพลเรือน ตรวจสอบข่าวตรงกันว่า ยังไม่มีสัญญาณการปลุกระดม หรือการจัดเตรียมมวลชนของทั้งสีแดง และสีเหลือง ฉะนั้นจึงประเมินว่ายังไม่มีม็อบขนาดใหญ่ในเร็วๆ นี้
แหล่งข่าวจากหน่วยงานความมั่นคง ให้ข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า การจัดชุมนุมขนาดใหญ่ และยืนระยะเพื่อขับไล่รัฐบาล หรือต่อต้านผู้มีอำนาจรัฐ ต้องใช้มวลชนจัดตั้งของฝ่ายการเมืองฝั่งตรงกันข้าม และใช้เงินทุนจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีความเคลื่อนไหวที่ชัดเจนจากทั้งสองส่วน (มวลชน และเงินทุน)
สำหรับการนัดพบรวมตัวกันของกลุ่มนายสนธิ และนายจตุพร นั้น มวลชนที่เข้าร่วมเกือบทั้งหมด เป็นแฟนคลับดั้งเดิม และมาด้วยใจ ซึ่งหากนับจำนวนมวลชน ถือว่ายังไม่มากพอ ที่จะจัดม็อบลงถนน และแกนนำทั้งสองสีก็ยังไม่ได้พูดหรือปราศรัยเชิงปลุกระดมเลย
แหล่งข่าวยังบอกด้วยว่า หากให้ประเมินอย่างไม่เป็นทางการ คาดว่าแกนนำมวลชนน่าจะปล่อยให้ “ฝ่ายการเมืองสีแดงกับสีน้ำเงิน” สู้กันให้แตกหักไปก่อน ค่อยหาจังหวะเคลื่อนไหวต่อไป เพราะทิศทางการเมืองจะชัดเจน และหาแนวร่วมได้ง่ายกว่า
- แกนนำทั้งสองคน คือ นายสนธิ และนายจตุพร เคยถูกหลอกใช้ หลอกให้เป็นศัตรูกัน ถึงขั้นห้ำหั่นกันมาก่อน ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย แต่สุดท้ายกลายเป็นถูกหลอก และบ้านเมืองก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นเลย
ฉะนั้นจากบทเรียนนี้ จะทำให้ทั้งสองคนไม่ผลีผลามทำอะไรแบบเดิม แต่ก็จะไม่หยุด หากมีโอกาสที่จะพัฒนาสถานการณ์ต่อ
- มวลชนหลักๆ ที่เคยออกมาเคลื่อนไหว โดยเฉพาะกลุ่มเสื้อเหลือง ปัจจุบันอายุมาก ไม่น่าจะมีพลังออกไปประท้วงแบบเดิม หรือยืนระยะขับไล่รัฐบาลได้นานๆ ฉะนั้นตัวแปรสำหรับการเมืองไทยยุคปัจจุบัน น่าจะเป็นคนอายุราวๆ 30-40 ปีมากกว่า
- ประชากรวัย 30-40 ปี ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากการบริหารประเทศของรัฐบาล ฉะนั้นหากวิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้นจริง และรุนแรง จะมีคนกลุ่มใหญ่ที่ล่มสลายไปกับภาวะเศรษฐกิจ สถานการณ์ช่วงนั้นจะอ่อนไหวและน่ากังวลมาก...