อาฟเตอร์ช็อกหลังจากการ “ปรับ ครม.เศรษฐา” ยังคงมีแรงสะเทือนออกมาให้เห็นอยู่เป็นระลอก เริ่มจาก
อาฟเตอร์ช็อกที่ 1 ปานปรีย์ ไขก๊อก รมว.ต่างประเทศ
28 เม.ย.2567 นายปานปรีย์ พหิทธานุกร ยื่นหนังสือลาออก ตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ หลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง รัฐมนตรีใหม่ ได้ไม่ถึง 24 ชม. สาเหตุเพราะถูกถอดจากตำแหน่งรองนายกฯ ไม่แจ้งล่วงหน้า เหลือเพียงตำแหน่งเดียว คือ รมว.ต่างประเทศ ซึ่งนายปานปรีย์ ระบุว่า การเหลือเพียงตำแหน่งเดียวมีผลต่อความน่าเชื่อถือกับการเจรจาต่างประเทศ และในเวลาต่อมาไม่นาน นายกฯเศรษฐา ก็ได้ชื่อ รัฐมนตรีคนใหม่แทนที่ นั่นคือ อดีตทูต “มาริษ เสงี่ยมพงษ์”
ข้อสังเกตุ
ความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจล่าสุด คือ อดีตนายกฯทักษิณ เปิดบทบาทเจรจาเมียนมา มาเลย์ และไปเชียงใหม่ ต่อสายคุยผู้นำกองกำลังชนกลุ่มน้อย ไปภูเก็ต พบผู้นำประเทศเพื่อนบ้าน อาจทำให้ รมว.ต่างประเทศ คนเดิมไม่พอใจ เพราะล้ำเส้น หรืออดีตนายกฯเคลื่อนไหว แล้วไม่ได้รับการสนองตอบ จึงวางแผนปรับออก หรือสุดท้ายจะเป็นเกมซ้อนเกม ถอดตำแหน่งหนึ่งจาก 2 ตำแหน่ง เพื่อให้เข้าใจว่าถูกลดชั้นแล้วลาออกไปเองหรือไม่
อาฟเตอร์ช็อก รอบ 2 ศึกในก.คลัง หรือศึกใน รทสช. ?
สำหรับอาฟเตอร์ช็อกที่ 2 เกิดขึ้นสดๆร้อน วานนี้ (8 พ.ค.) นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ขอลาออกจาก รมช.คลัง โดยสาเหตุคาดว่า น่าจะมาจากเรื่องการแบ่งงานใหม่ หลังปรับ ครม. เติม รมช.คลัง เข้ามาอีก 1 คน
ข้อสังเกต
คำถามคือ ใครได้รับประโยชน์สูงสุดจากการปรับ ครม. ครั้งนี้ ก็ต้องบอกว่าเกมนี้คนที่ได้รับประโยชน์สูงสุดคงหนีไม่พ้นพรรคเพื่อไทย ผู้นำจิตวิญญาณ และโครงการพาน้องกลับบ้าน ส่วนกรณีกระทรวงการคลัง ก็ทำให้ "เพื่อไทย" ยึดกระทรวงนี้เบ็ดเสร็จ ตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ตั้งแต่แรก
จากนี้คงต้องจับตาตากันให้ดีว่า จะมีอาฟเตอร์ช็อกครั้งที่ 3 เกิดขึ้นอีกหรือไม่ และถ้ามีรายต่อไปจะเป็นใคร