24 มีนาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์สำรวจความคิดเห็น "นิด้าโพล" หรือ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง "การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมือง รายไตรมาส ครั้งที่ 1/2567"
โดยทำการสำรวจระหว่างวันที่ 11-13 มี.ค. 2567 จาก 2,000 กลุ่มตัวอย่าง กระจายทุกกลุ่มสาขาอาชีพทั่วภูมิภาค ตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป เกี่ยวกับคะแนนนิยมทางการเมือง โดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ "นิด้าโพล" สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0
ทั้งนี้ เมื่อถามถึงบุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้ (24มี.ค.) พบว่า
ส่วนร้อยละ 2.45 ระบุอื่น ๆ ได้แก่
ขณะที่ ร้อยละ 2.05 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงพรรคการเมืองที่ประชาชนจะสนับสนุนในวันนี้ พบว่า
ส่วนร้อยละ 1.40 ระบุอื่น ๆ ได้แก่
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า
โดยกลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 48.10 เป็นเพศชาย และร้อยละ 51.90 เป็นเพศหญิง
นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างตัวอย่างที่ตอบแบบสำรวจ พบว่า
"เศรษฐา" ย้ำต้องฟังเสียงโพลเพื่อสะท้อนการทำงาน
ขณะที่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ผลสำรวจความนิยมล่าสุดพบว่า อันดับ 1 ประชาชนอยากให้นายพิธา เป็นนายกฯ และตนอยู่ในลำดับที่ 3 นั้น ก็ต้องรับฟัง เพราะผลโพลสะท้อนความคิดของประชาชน แต่การทำโพลมีหลายแบบ เช่น ในพื้นที่ต่างๆ มีความไม่แน่นอน พร้อมยกกลุ่มตัวอย่างที่มีความคลาดเคลื่อนได้ หรืออาจจะไม่ได้เป็นกระจกสะท้อนความเป็นจริง แต่ก็ถือเป็นโพลโพลหนึ่ง
"เราก็ต้องรับฟังและมีหน้าที่ที่ต้องทำต่อไป ถึงแม้จะทำงาน 6-7 เดือนแล้วก็ตาม อีกทั้ง งบประมาณปี 2567 ก็เพิ่งผ่านการพิจารณาสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันศุกร์นี้เอง ซึ่งก็จะใช้ระยะเวลาอีกเดือนหนึ่ง กว่าจะใช้งบประมาณได้ อย่างในวันนี้ อสม.ก็เพิ่งทราบว่างบประมาณเพิ่งผ่าน ก็จะได้เงินค่าตอบแทนเพิ่ม ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่ไม่พอใจรัฐบาลก็ได้ แต่หารู้ไม่ว่าที่จริงแล้วมีขั้นตอน ทางสภาฯ เรื่องการอนุมัติงบประมาณ ผมก็ยอมรับว่าต้องตั้งใจทำงาน และรับฟังเสียงของประชาชนเป็นหลัก" นายเศรษฐา ระบุ
ผมไม่เคยพอใจการทำงานตัวเอง-รัฐมนตรี
ส่วนที่ผ่านมาพอใจการทำงานของรัฐมนตรี แต่ละกระทรวงหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า "ไม่ ผมไม่พอใจการทำงานของตัวเอง ไม่พอใจการทำงานของรัฐมนตรีทุกท่าน เพราะทุกอย่างทำให้ดีขึ้นได้อีก เพราะอันนี้คือชีวิตจริง เราต้องไม่พอใจเรื่องพวกนี้ เพราะความเดือดร้อนของประชาชนยังมีอยู่ ในทุกเรื่องตัวเราเองต้องพยายามทำต่อ ถึงได้ลงมาในพื้นที่รับฟังความคิดเห็นของประชาชน จะได้นำไปปรับวิธีการทำงาน"
รัฐต้องปรับกลยุทธ์ทำงานเพื่อประชาชน-ไม่ใช่หวังกระแส
นายเศรษฐา ยังยืนยันว่า มั่นใจหลังงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ผ่านการพิจารณาที่ประชุมสภาฯ การทำงานจะเปรี้ยงขึ้นกว่าเดิม ส่วนจะต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ เพื่อทำให้เกิดกระแสขึ้นหรือไม่นั้น ตนไม่อยากใช้คำว่าอิงกับกระแส ตนว่าเรื่องเสียงสะท้อนทุกอันต้องรับฟัง และต้องมีการปรับกลยุทธ์ แต่ไม่ใช่ปรับเพื่อให้กระแสดีขึ้น เป็นการปรับกลยุทธ์ เพื่อให้ความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น ปรับกลยุทธ์ให้เศรษฐกิจดีขึ้น ปรับกลยุทธ์เพื่อให้เกิดความเสมอภาคและเท่าเทียมดีขึ้น มีการปรับตลอด
สำหรับจะต้องเน้นเรื่องการประชาสัมพันธ์หรือไม่นั้น เนื่องจากที่ผ่านมาทำงานแทบทุกวัน ไม่มีวันหยุดแต่หลายผลงานประชาชนอาจไม่เห็น ทำให้ผลสำรวจออกมาเป็นเช่นนี้ อาจจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง
"ซึ่งทีมโฆษกประจำสำนักนายกฯ ทีมสื่อสาร คงเอาข้อมูลมาวิเคราะห์กันอีกที ว่าตรงไหนเราพูดน้อยเกินไปหรือไม่ เราทำเรื่องเยอะเกินไปหรือเปล่า เราเปิดงานเยอะเกินไปหรือเปล่า เราต้องโฟกัสบางเรื่องให้เยอะขึ้นหรือไม่ ทำเรื่องที่จะโดนใจประชาชน และการที่รัฐมนตรี 5-6 คนมาลงพื้นที่ ก็พยายามที่จะผลักดัน วิธีการแก้ไขปัญหาของประชาชน และเชื่อว่ามาโคราชอีกครั้ง ช่วงเดือนมิ.ย. ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเป็นการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ น่าจะมีผลงานคืบหน้าได้ เพราะงบประมาณแล้วออกแล้ว" นายกฯ กล่าว