แม้ข่าวดังกล่าวคนในรัฐบาลจะคอนเฟิร์มเสียงดังแบบฟังชัด ทั้ง "เศรษฐา ทวีสิน" นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง รวมไปถึง "ภูมิธรรม เวชยชัย" รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ถึงปรับ ครม. นั้น ยืนไม่เกิดขึ้นแน่นอน
แต่ก็มีบางส่วนเชื่อว่าเรื่องนี้อาจได้เห็นในช่วงเดือน เม.ย. ที่กำลังใกล้มาถึง ดังนั้น ปรากฏการณ์ข่าวที่ออกมาในช่วงเวลานี้ กำลังสะท้อนว่าเกิดอะไรขึ้น
หากมีการปรับจริงคำถามที่ตามมา คือจะเป็นไปแบบไหนอย่างไร
ปรับเล็กหรือปรับใหญ่
มีเสียงตอบจากคนวงในกระซิบว่า การปรับ ครม. รอบนี้เรียกว่าล็อตใหญ่หลายตำแหน่ง
ปรับใหญ่ในที่นี้หมายถึง
ไม่ใช่แค่เฉพาะเพื่อไทย แต่เป็นการเขย่ากันใหม่หมดทุกพรรคที่ร่วมรัฐบาล แม้พรรคอื่นอาจไม่อยากปรับ แต่ก็ต้องจำใจ เพราะเพื่อไทยมีเจรจาแลก ริบกระทรวง
กระทรวงไหนที่อยู่ในข่าวถูกเสนอแลก
แน่นอนว่ากระทรวงที่สร้างผลงานได้ไม่ตรงปกหรือตามนโยบายที่หาเสียงเอาไว้ ยกตัวอย่าง
ส่วนการเจรจาเพื่อแลกกระทรวงนั้น ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวปล่อยเตรียมเอาบางพรรคร่วมรัฐบาลออก และดึงพรรคฝ่ายค้านมาเข้าร่วมแทน ซึ่งมีพรรคเดียวที่เคยตกเป็นข่าว คือ "ประชาธิปัตย์"
ส่วนพรรคที่จะถูกสลัดจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ก็คือ "พลังประชารัฐ" โดยเหลือไว้เพียงกลุ่มเดียว คือ "ผู้กองธรรมนัส" เพราะยกเป็นเพื่อไทยสาขา 2
ซึ่งแน่นอนว่าหากเลือกแนวทางนี้เท่ากับสร้างบาดแผลชนิดยากจะสมานระหว่างเพื่อไทยกับ "พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ" อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และคำถามตามมา จะเกิดขึ้นและเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด เพราะถึงอย่างไร คนวงในการันตีว่าเป็นการปล่อยข่าว เพื่อเป้าหมายเปลี่ยนกระทรวง ถึงยังไงผู้น้องก็ไม่ยอมให้ผู้พี่ถูกลอยแพอย่างแน่นอน
2 เก้าอี้ ครม. ที่ว่างยังเป็นคนเดิมเข้ามาหรือไม่
ขณะนี้แน่นอนแล้วว่า "พิชิต ชื่นบาน" ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เตรียมเข้าวิน เพราะคุณสมบัติผ่านที่เรียบร้อย ซึ่งก่อนหน้านี้ในการจัดตั้ง ครม.เศรษฐา 1 ก็มีชื่อติดอยู่ โดยจะไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ
กระทั่งวินาทีสุดท้าย "พิชิต" ออกมาประกาศไม่ขอรับตำแหน่งใดๆ เนื่องด้วยปัญหาด้านคุณสมบัติ กรณีที่เคยถูกจำคุกฐานละเมิดอำนาจศาล จากการถูกกล่าวหาเรื่อง "ถุงขนม 2 ล้าน" ซึ่งสรุปว่าโทษที่โดนครั้งนั้น ไม่ใช่คำพิพากษาของศาล แต่เป็น "คำสั่ง" จึงไม่ถือว่าต้องคำพิพากษา จึงไม่ขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี
ส่วน "ไผ่ ลิกค์" สส.กำแพงเพชร พลังประชารัฐ มีข่าวหลุดวงโครจรแน่นอน เพราะปัญหาคุณสมบัติ
อย่างไรก็ตาม กระแสข่าวปรับ ครม. ล็อตใหญ่ ที่ออกมาช่วงเวลานี้ เพราะเพื่อไทยมั่นใจว่า "เอาอยู่" ด้วยปัจจัย
โดยเฉพาะ "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" จากกรณีแฟลชม็อบที่กำลังเตรียมยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา และประเด็นใหญ่ คือ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในเรื่องล้มล้างการปกครองจากนโยบายหาเสียงแก้ไขมาตรา 112
ซึ่งมีแวดวงการเมืองบางส่วนประเมินว่า "รอด" เพราะยังไม่ได้กระทั่ง ยกเว้นไปฝืนกระทำหลังจากนี้ แต่ก็มี "กูรู" การันตีว่า "ร่วง" เนื่องด้วยศาลสั่งเลิกการกระทำ ซึ่งแปลว่าพรรคทำผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 คือ มีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครอง ทำให้โอกาสยุบมีถึง 1,000%
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องร้อนๆ ถาโถมใส่พรรคก้าวไกล ไม่เว้นแต่ละวันทั้งประเด็น สด.43 หรือ 44 สส. ถูกยื่น ป.ป.ช. สอบมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง จากร่วมลงชื่อแก้ไขมาตรา 112 แม้กระทั่งเป็นนายประกันให้กับผู้ต้องหาหมิ่นสถาบัน รวมถึงมี สส. ที่เคยโดนมาตรานี้
อย่างไรก็ตาม ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ ก็ทำให้พรรคก้าวไกลก็เดินไปอย่างทุลักทุเลบนถนนการเมืองสายนี้ เพราะเผชิญแต่ปัญหา ส่งผลให้คนเลือกน้อยลง เพราะมองว่าเลือกไป ก็มีปัญหา ไม่ได้เป็นรัฐบาล สุดท้ายก็โดนสอย จึงกลายเป็นจังหวะทอง หากจะมีการปรับ ครม. ช่วงเวลาที่อีกฝ่ายกำลังฝ่ามรสุมพายุ