วิกฤตลิเวอร์พูล! กูรูชี้ปัญหาลึกถึงโครงสร้างที่ "อาร์เน่อ ชล็อต" ต้องแก้
ช่วงเวลานี้ของ ลิเวอร์พูล อาจเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในรอบหลายปี ความพ่ายแพ้ 4 นัดติดต่อกัน ทำให้แฟนบอลย้อนนึกถึงยุคตกต่ำเมื่อปี 2014 สมัย เบรนแดน ร็อดเจอร์ส และสิ่งที่เคยถูกเรียกว่า “ฟอร์มสะดุด” (blip) กำลังถูกตีความใหม่ในมุมของสื่อต่างประเทศว่า มันคือ “ปัญหาที่ฝังลึกกว่า” (something deeper) ภายใต้การคุมทีมของ อาร์เน่อ ชล็อต
นักวิเคราะห์หลายสำนักมองตรงกันว่า ลิเวอร์พูล กำลังเผชิญปัญหาในระดับโครงสร้าง ทั้งในแง่เกมรับที่ไร้ระเบียบ และนักเตะค่าตัวแพงที่ยังไม่ตอบโจทย์การลงทุน
เกมรับที่สูญเสียความเป็นระเบียบ: จากเครื่องจักรสู่ความโกลาหล
สิ่งที่สะท้อนภาพทีมได้ชัดที่สุดในตอนนี้คือ “ความเปราะบาง” ในแนวรับ ซึ่งต่างจากทีมเดิมที่เคยถูกยกให้เป็น “เครื่องจักรแห่งประสิทธิภาพ” เมื่อฤดูกาลก่อน
- ฟิล แมคนัลตี้ (BBC Sport) อธิบายว่าทีมของชล็อตกำลังเต็มไปด้วย “ความโกลาหล” และ “ขาดการจัดการที่ดี” ขณะที่ แอนดี้ ฮันเตอร์ (The Guardian) บอกตรงๆ ว่า “รากฐานเกมรับของพวกเขาหายไปแล้ว”
- ลูกตั้งเตะกลายเป็นฝันร้าย: ลิเวอร์พูลเสียถึง 5 ประตูจากลูกตั้งเตะ ใน 8 นัดแรกของพรีเมียร์ลีก ทั้งที่ซีซั่นก่อนพวกเขาไม่เสียเลยในช่วงเวลาเดียวกัน ชล็อตยอมรับว่าการปรับให้ทีมบุกมากขึ้น อาจทำให้โครงสร้างเกมรับโดยเฉพาะลูกนิ่ง “ไม่สมบูรณ์แบบเท่าที่ควร”
- ลูกครอสเสาไกลคือบาดแผลเดิมที่ปริแตก: มาร์ค แครีย์ (The Athletic) เผยว่าลิเวอร์พูลเสียประตูจากจังหวะแบบนี้ไปแล้วถึง 7 ครั้ง ในซีซั่นนี้ (ตลอดฤดูกาลก่อนเสียไปเพียง 3 ครั้ง) จุดอ่อนมักเกิดจากฝั่งขวา ที่ปล่อยให้คู่แข่งเปิดบอลได้ง่ายเกินไป ขณะที่แบ็กซ้ายอย่าง มิลอส เคอร์เคซ ถูกเจาะซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะรับมือกับลูกกลางอากาศได้ไม่ดี
- แนวรับขาดความมั่นใจ: เคอร์เคซถูกวิจารณ์ว่า “ประหม่าอย่างเรื้อรัง” ส่วน ฟาน ไดจ์ค และ โกนาเต้ ก็ถูกมองว่าขาดสมาธิและความเร็วในการตอบสนอง
ตลาดนักเตะหลักร้อยล้านยังไม่ช่วยให้ทีมดีขึ้น
แม้ ชล็อต จะได้รับการสนับสนุนงบเสริมทัพกว่า 450 ล้านปอนด์ แต่ผลงานกลับไม่สะท้อนตัวเลขเหล่านั้น
- ซาลาห์ที่ดูไม่ใช่ซาลาห์: การถูกเปลี่ยนตัวออกทั้งที่ทีมกำลังต้องการประตูตีเสมอ คือสัญญาณอันน่ากังวล ฟิล แมคนัลตี้ เรียกมันว่า “สัญลักษณ์แห่งวิกฤต” (ominous symbol) เพราะเจ้าของฉายา The Egyptian King ยังไม่ยิงจากโอเพ่นเพลย์เลยตลอด 7 นัดล่าสุด และดู “ขาดฟอร์มและความมั่นใจ” อย่างเห็นได้ชัด
- ดีลมูลค่ามหาศาลที่ยังไม่เห็นผล: การเข้ามาของ โฟลเรียน เวียร์ตซ์ (116 ล้านปอนด์) และ อเล็กซานเดอร์ อิซัค (125 ล้านปอนด์) รวมมูลค่า 241 ล้านปอนด์ ยังไม่ตอบแทนการลงทุนเลยสักนิด “อิซัคแทบไม่มีส่วนร่วมกับเกม” ตามคำวิจารณ์ของ แอนดี้ ฮันเตอร์ ซึ่งมองว่าการตัดสินเขาในฐานะกองหน้าค่าตัวระดับนั้น “อาจต้องใช้คำว่ารุนแรง”
- เสียงจากอดีตนักเตะ: สตีเฟน วอร์น็อค เสนอให้จับ โดมินิค โซโบซไล มาเล่นแบ็กขวาแบบมีอิสระตัดเข้าใน (Inverted Fullback) เพื่อช่วยทีมสร้างเกมบุก ส่วน เจเรมี่ ฟริมปง และ อูโก้ เอกิติเก้ ที่ได้ลงมาเป็นตัวสำรอง กลับสร้างอิมแพ็กได้มากกว่าผู้เล่นตัวจริง ดังนั้นทั้งคู่ควรได้เป็นตัวจริงก่อน ซาลาห์ และ อิซัค
รูปแบบการเล่น: “คามิกาเซ่ ฟุตบอล” ที่กำลังเผาไหม้ตัวเอง
คริส บาสคอมบ์ (The Telegraph) เปรียบเทียบฟุตบอลของชล็อตตอนนี้ว่า เต็มไปด้วยพลังและความมันส์ แต่กลับไร้ความสมดุล
- บุกมันส์แต่เสี่ยงเกินไป: ชล็อตต้องการทีมที่เล่นเหมือน ปารีส แซงต์-แชร์กแมง แต่ในความเป็นจริง มันกลับคล้าย ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ยุค อันเก้ ปอสเตโคกลู มากกว่า นั่นคือฟุตบอลที่สนุก ตื่นเต้น แต่เปราะบาง
- ฟุตบอลคามิกาเซ่: บาสคอมบ์ยกคำของ รอย อีแวนส์ ว่าลิเวอร์พูลกำลังเล่นในแบบ “Kamikaze football” หรือฟุตบอลที่เอาแต่บุกโดยไม่สนใจการป้องกัน ซึ่งเขามองว่าทีมที่จะเป็นแชมป์ไม่ควรเป็นฝ่าย “สร้างความล้มเหลวให้ตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า” แบบนี้
- ขาดความสุขุม: ความรู้สึกเร่งรีบที่จะ "คัมแบ็ก" หลังตีเสมอ ทำให้นักเตะขาดความเยือกเย็นในการตัดสินใจ เช่นจังหวะทุ่มพลาดของ โซโบซไล ที่กลายเป็นต้นเหตุของประตูชัยในเกมแดงเดือด
---
รีบแก้ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป
แม้ ลิเวอร์พูล จะยังสร้างโอกาสได้มากมาย แต่ปัญหาของทีมชุดนี้ลึกกว่าความเฉียบคมในแดนหน้า คอลัมนิสต์ส่วนใหญ่ชี้ว่า “หัวใจของปัญหา” คือ
- เกมรับที่ขาดความสมดุลและระเบียบวินัย โดยเฉพาะในจังหวะลูกนิ่งและลูกครอสเสาไกล
- การลงทุนมหาศาลที่ยังไม่ก่อให้เกิดความแตกต่างอย่างที่คาดหวัง
เฟอร์จิล ฟาน ไดจ์ค เรียกร้องให้ทีม “สามัคคีและถ่อมตน” ในช่วงเวลายากลำบากนี้ แต่สุดท้ายแล้ว แรงกดดันทั้งหมดกำลังถาโถมใส่ อาร์เน่อ ชล็อต เต็มๆ เขาจึงต้องรีบกอบกู้สมดุลทั้งในห้องแต่งตัวและในสนาม ก่อนที่ระยะห่างจากจ่าฝูงอย่างอาร์เซนอลและแมนฯ ซิตี้ จะกลายเป็นช่องว่างที่ยากจะตามทัน
แปลและเรียบเรียงจาก