svasdssvasds
เนชั่นทีวี

กีฬา

ย้อนประวัติศาสตร์การต่อสู้ของ "บาเยิร์น มิวนิค-เรอัล มาดริด" 2 ทีมยักษ์แห่งยุโรป

30 เมษายน 2567
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ย้อนประวัติศาสตร์การต่อสู้กันของสองทีมที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในยุโรป ระหว่าง บาเยิร์น มิวนิค และ เรอัล มาดริด ที่ขับเคี่ยวกันมานานจนเกมระหว่างทั้งคู่ได้รับการขนานนามว่า "ยูโรเปี้ยน กลาซิโก"

ศึก "เอล กลาซิโก" แฟนบอลน่าจะทรายกันดีว่าหมายถึงการแข่งขันระหว่าง เรอัล มาดริด กับ บาร์เซโลน่า ซึ่งเป็นสองทีมที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของสเปน และเป็นการต่อสู้อันเข้มข้นเพื่อตัดสินว่าทีมใดเหนือกว่ากัน

ในฟุตบอลถ้วยยุโรปก็มีเกมการแข่งขันลักษณะนี้เช่นเดียวกัน โดยถูกเรียกว่า "ยูโรเปี้ยน กลาซิโก" ซึ่งจะหมายถึงการแข่งขันระหว่าง เรอัล มาดริด กับ บาเยิร์น มิวนิค เนื่องจากทั้งคู่เป็นทีมที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในประเทศของตัวเอง (เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ในประเทศรวมทั้งสิ้น 70 รายการ ส่วน บาเยิร์น ได้แชมป์มา 69 รายการ)

และจากการที่ทั้งคู่กวาดแชมป์ในประเทศมาได้บ่อยครั้ง ทำให้มีโอกาสโคจรมาพบกันในฟุตบอลถ้วยยุโรปอยู่เสมอ เกมระหว่าง บาเยิร์น มิวนิค กับ เรอัล มาดริด ถูกบันทึกสถิติว่าเป็นเกมที่เจอกันบ่อยที่สุดในถ้วยยุโรป (นับรวมทุกรายการ) โดยเคยเจอกันมาแล้วถึง 26 ครั้ง "ราชันชุดขาว" ชนะไป 12 ครั้ง, "เสือใต้" ชนะ 11 ครั้ง และเสมอกัน 3 ครั้ง

จากตัวเลขดูเหมือนสูสีกันมาก แต่พวกเขาทั้งคู่ต่างก็มีช่วงเวลาที่ครองความยิ่งใหญ่ต่างกัน และนี่คือประวัติศาสตร์การต่อสู้ของทั้งสองทีมตลอดเกือบ 70 ปีที่ผ่านมา

ย้อนประวัติศาสตร์การต่อสู้ของ \"บาเยิร์น มิวนิค-เรอัล มาดริด\" 2 ทีมยักษ์แห่งยุโรป

  • 1955-1976

ในช่วงทศวรรษที่ 1950s ชะตากรรมของทั้งสองสโมสรแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ขณะที่ เรอัล มาดริด กำลังเข้าร่วมฟุตบอลสโมสรยุโรปที่ก่อตั้งขึ้นเป็นครั้งแรก ฝั่ง บาเยิร์น มิวนิค ก็ตกชั้นไปเล่นในโอเบอร์ลีก้า 2 

"ราชันชุดขาว" ครองเจ้ายุโรปทันที ด้วยการคว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ 5 สมัยติดต่อกัน ภายใต้การนำทัพของซูเปอร์สตาร์อย่าง อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่, เฟเรนซ์ ปุสกัส เรย์มงด์ โกปา ฯลฯ 

ในทางกลับกัน บาเยิร์น มิวนิค ไม่ได้รับคำเชิญโดยตรงให้เข้าร่วมลีกใหม่ของเยอรมันที่เรียกว่า "บุนเดสลีกา" ในปี 1963 แต่ด้วยทีมที่มีเด็กปั้นอย่างฟรานซ์ เบ็คเค่นบาวเออร์, แกร์ด มุลเลอร์ และเซปป์ ไมเออร์ พวกเขาก็ค่อยๆเติบโตก่อนเลื่อนชั้นสู่บุนเดสลีกาได้ในที่สุดเมื่อปี 1965

แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ 1966 ของ เรอัล มาดริด ถือเป็นจุดสิ้นสุดของยุคสมัย หลังจากนั้นพวกเขาต้องรออีก 3 ทศวรรษจึงจะกลับมาคว้าแชมป์ได้อีกครั้ง ส่วน บาเยิร์น ค่อยๆเติบโตเป็นลำดับ จนก้าวขึ้นคว้าแชมป์ คัพ วินเนอร์ส คัพ ในปี 1967 เป็นจุดเริ่มต้นสู่การเป็นทีมหัวแถวของฟุตบอลยุโรป นำมาสู่การคว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ 3 สมัยติดต่อกัน (1974-1976)

และในช่วงเวลานี้ ทั้งสองทีมเผชิญหน้ากันเป็นครั้งแรกใน ยูโรเปี้ยน คัพ รอบรองชนะเลิศ ฤดูกาล 1975-76 ซึ่ง บาเยิร์น ชนะไปด้วยสกอร์รวม 3–1 โดย แกร์ด มุลเลอร์ เป็นคนยิงทั้ง 3 ประตู

ย้อนประวัติศาสตร์การต่อสู้ของ \"บาเยิร์น มิวนิค-เรอัล มาดริด\" 2 ทีมยักษ์แห่งยุโรป

  • 1977-1997

ทศวรรษที่ 80 และ 90 ส่วนใหญ่เป็นช่วงที่ทั้งคู่อยู่ในระดับสูงสุดของฟุตบอลยุโรป แต่สุดท้ายก็ต้องกลายเป็นเพียง "พระรอง" โดย เรอัล มาดริด ผ่านเข้าชิงได้ในปี 1981 ก่อนไปแพ้ ลิเวอร์พูล 0-1 ส่วน บาเยิร์น เข้าชิงในปี 1982 ก่อนไปแพ้ แอสตัน วิลล่า 0-1 และปี 1987ก็เข้าชิงอีกครั้ง แต่ก็ไปพ่าย ปอร์โต้ 1-2 

ระหว่างฤดูกาล 1986–87 บาเยิร์น เผชิญหน้ากับ เรอัล มาดริด อีกครั้งในรอบรองชนะเลิศ โดยประตูของ เคลาส์ เอาเกนธาเลอร์, โลธาร์ มัทเธอุส และ โรลันด์ โวห์ลฟาร์ธ ช่วยให้ เสือใต้ ชนะ 4–1 ในเลกแรก ซึ่งแม้ มาดริด จะชนะได้ในเลกสองแต่ประตูรวมก็ไม่เพียงพอ ต้องชวดเข้าชิงไป

อย่างไรก็ตาม ราชันชุดขาว แก้แค้นได้สำเร็จในรอบก่อนรองชนะเลิศซีซั่นถัดมา โดยแม้บาเยิร์นจะชนะ 3-2 ในเลกแรกที่มิวนิก แต่ เรอัล กลับมาคว้าชัยในบ้าน 2–0 และเข้ารอบไปด้วยประตูรวม 4–3

ส่วนยุค 90 ทั้งสองทีมทำผลงานตกต่ำลงไป และต้องทนเห็นคู่แข่งในประเทศอย่าง บาร์เซโลน่า และ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ คว้าแชมป์ยุโรปในปี 1992 และ 1997 ตามลำดับ

ย้อนประวัติศาสตร์การต่อสู้ของ \"บาเยิร์น มิวนิค-เรอัล มาดริด\" 2 ทีมยักษ์แห่งยุโรป

  • 1998-2002

ในช่วง 5 ปีนี้เป็นช่วงที่ทั้งสองทีมกลับสู่ความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง โดย เรอัล มาดริด ยุติการรอคอยที่ยาวนาน 32 ปีด้วยการคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ในปี 1998 ต่อด้วยอีก 2 แชมป์ในปี 2000 และ 2002 ส่วน บาเยิร์น เกือบทำสำเร็จในปี 1999 แต่ไปเสีย 2 ประตูใน 2 นาทีท้ายเกมให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างไรก็ตาม "เสือใต้" ก็กลับมาคว้าแชมป์ได้สำเร็จในปี 2001 ด้วยการชนะจุดโทษต่อ บาเลนเซีย

ฤดูกาล 1999-2000 เป็นช่วงที่ทั้งสองฝ่ายพบกันบ่อยมาก โดย บาเยิร์น ชนะ เรอัล มาดริด แบบขาดลอยทั้งสองนัดในรอบแบ่งกลุ่ม (ชนะ 4–1 และ 4–2) จากนั้นโชคชะตาพาพวกเขามาพบกันในรอบรองชนะเลิศอีกครั้ง แต่คราวนี้ เรอัล มาดริด ชนะ บาเยิร์น ไปด้วยประตูรวม 3-2 จากการระเบิดฟอร์มของ นิโกลาส อเนลกา

รอบรองชนะเลิศฤดูกาล 2000–01 ทั้งสองทีมมาเจอกันอีกครั้ง และด้วยประตูของ โจวานนี่ เอลแบร์ ก็ช่วยให้บาเยิร์นคว้าชัยชนะทั้งสองเลก จากนั้นในซีซั่น  2001-02 ทั้งสองทีมเผชิญหน้ากันเป็นฤดูกาลที่สามติดต่อกัน และเป็น กูตี ที่ทำประตูในนาทีที่ 85 ของเลกที่สอง ที่ช่วยให้ ราชันชุดขาว ผ่านเข้ารอบต่อไป

ย้อนประวัติศาสตร์การต่อสู้ของ \"บาเยิร์น มิวนิค-เรอัล มาดริด\" 2 ทีมยักษ์แห่งยุโรป

  • 2003-2009

เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงของทั้งสองสโมสร เรอัล มาดริด เร่งเครื่องอย่างเต็มที่ในแนวทาง "กาลัคติโกส" ที่มีซูเปอร์สตาร์ระดับโลกนับสิบราย แต่กลายเป็นการทำให้ทีมเสียสมดุล ตรงข้ามกับ บาเยิร์น ที่เปลี่ยนทีมอย่างระมัดระวัง 

ความสำเร็จในประเทศของทั้งคู่ยังสานต่อไปได้ก็จริง แต่หากมองแค่ในถ้วยยุโรป ทั้งคู่ไปไม่ถึงรอบรองชนะเลิศได้เลยด้วยซ้ำระหว่างปี 2004-2009

ทั้ง บาเยิร์น และ เรอัล เผชิญหน้ากันในรอบ 16 ทีม ฤดูกาล 2003–04 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่มาเจอกันในรอบนี้ โดยประตูจากโรแบร์โต้ คาร์ลอส และซีเนดีน ซีดาน ช่วยให้ เรอัล มาดริด ชนะไป 2–1 ต่อมาในซีซั่น 2006-07 ทั้งคู่เจอกันอีกครั้ง มาดริดชนะ 3–2 ในบ้าน แต่ไปแพ้บาเยิร์น 2–1 ที่มิวนิก ทำให้เสือใต้เข้ารอบด้วยกฏประตูทีมเยือน ไฮไลท์ของการเจอกันครั้งนี้คือ ฮาซาน ซาลิฮามิดซิช สกัดบอลจากโรแบร์โต้ คาร์ลอส จนทำให้บอลหลุดไปถึง รอย มาคาย สร้างสถิติยิงประตูเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์แชมเปี้ยนส์ลีกด้วยเวลา 10.12 วินาที

จนถึงตอนนี้ บาเยิร์น เหนือกว่า เรอัล มาดริด ด้วยสถิติชนะ 10 แพ้ 6...แต่การชดใช้กำลังจะมาถึงในไม่ช้า

ย้อนประวัติศาสตร์การต่อสู้ของ \"บาเยิร์น มิวนิค-เรอัล มาดริด\" 2 ทีมยักษ์แห่งยุโรป

  • 2010-2023

ด้วยโค้ชคนใหม่และนักเตะใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิมชัดเจน ทำให้ทั้งสองทีมหวนคืนสู่ความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้งเช่นเดียวกับยุค 50 ของเรอัล มาดริด และยุค 70 ของบาเยิร์น มิวนิค

เรอัล มาดริด ผงาดคว้าถ้วยแชมเปียนส์ลีกไปครองได้ถึง 5 สมัย โดยเฉพาะช่วงปี 2016-18 ที่พวกเขาคว้าแชมป์ได้ 3 ปีติดต่อกัน ขณะที่ บาเยิร์น ก็ผ่านเข้าชิงได้ถึง 3 ครั้งระหว่างปี 2013-2020

หากไม่นับ บาร์เซโลน่า ของ ลิโอเนล เมสซี่ แล้ว ทั้ง เรอัล มาดริด กับ บาเยิร์น มิวนิค ยังได้ชื่อว่าเป็นทีมที่ดีที่สุดในโลกตลอดทศวรรษที่ผ่านมา และนั่นก็ทำให้พวกเขามีโอกาสเผชิญหน้ากันหลายต่อหลายครั้ง 

ฤดูกาล 2011–12 เรอัล มาดริด ของโชเซ่ มูรินโญ่ มาเจอกับ บาเยิร์น ในรอบรองชนะเลิศ เลกแรกเสือใต้ชนะก่อน 2–1 ในมิวนิก แต่เรอัล มาดริด ก็ชนะในบ้าน 2-1 เช่นกัน เกมยืดเยื้อไปถึงการดวลจุดโทษตัดสิน และเป็น บาเยิร์น ที่ชนะพร้อมผ่านเข้าชิงไปได้ 

เรอัล มาดริด แก้แค้นในอีกสองปีต่อมา ในรอบรองชนะเลิศ ฤดูกาล 2013–14 โดย บาเยิร์นแพ้ 0-1 ในเลกแรกที่สเปน ก่อนโดนถล่มยับคาบ้าน 0-4 ในเลกสอง

การเจอกันหลังจากนั้นเป็น ราชันชุดขาว ที่เหนือกว่า (แม้จะไม่ได้ขาดลอยเหมือนครั้งก่อน) โดยปี 2016 เรอัล มาดริด ชนะ บาเยิร์น ด้วยประตูรวม 6-4 คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยิงคนเดียว 5 ประตู จากนั้นในปีถัดมา เรอัล มาดริด ก็ชนะอีกครั้งด้วยประตูรวม 4-3 
 

  • วันนี้

บาเยิร์น มิวนิค และ เรอัล มาดริด จะกลับมาเจอกันอีกครั้งในรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2023–24 "ราชันชุดขาว" ไม่แพ้ทีมจากเยอรมันมา 7 นัดติดต่อกันแล้ว และยังเป็นทีมเต็งแชมป์หลังเขี่ยแชมป์เก่าอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายไปได้ ส่วน บาเยิร์น ที่ชวดแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี ก็มุ่งมั่นที่จะคว้าแชมป์รายการนี้ทดแทนให้ได้ โดยฝากความหวังไว้ที่ แฮร์รี่ เคน ตำนานดาวยิง สเปอร์ส ที่ยอมย้ายออกจากลอนดอนเป็นครั้งแรกในชีวิตเพื่อหวังจะคว้าแชมป์ให้ได้สักครั้ง 

ทีมใดจะสมหวัง รอลุ้นกันคืนนี้ในเลกแรก ก่อนไปเจอกันในเลกสอง กลางสัปดาห์หน้า

logoline