svasdssvasds
เนชั่นทีวี

กีฬา

อาร์เซน่อล กับการพัฒนาเกมรับที่อาจส่งให้ถึงแชมป์พรีเมียร์ลีก

24 เมษายน 2567
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ศึกพรีเมียร์ลีกชั่วโมงนี้ ไม่มีทีมไหนที่จะมีฟอร์มร้อนแรงไปกว่า "อาร์เซน่อล" โดยนอกจากแนวรุกที่ยอดเยี่ยมแล้ว อีกส่วนที่พัฒนาขึ้นชัดเจนคือ "เกมรับ" ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจส่งให้พวกเขาก้าวขึ้นคว้าแชมป์ก็เป็นได้

ศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2023/24 น่าจะเป็นการแข่งขันชิงแชมป์ที่น่าตื่นเต้นที่สุดในรอบหลายปี โดยที่อาร์เซน่อล, ลิเวอร์พูล และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ขับเคี่ยวกันอย่างสูสีตลอดทั้งซีซั่น จนเข้าสู่ช่วง 4-5 นัดสุดท้าย

โดยเฉพาะแฟนบอล “ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล ฤดูกาลนี้น่าจะเป็นซีซั่นที่พวกเขามีความสุขมากที่สุดแล้วนับตั้งแต่หมดยุคของตำนานกุนซืออย่าง อาร์แซน เวนเกอร์ จากการที่ลูกทีมของมิเกล อาร์เตต้า อยู่ในตำแหน่งจ่าฝูง หลังจากเมื่อคืนที่ผ่านมา พวกเขาคว้าชัยชนะเหนือ เชลซี ไปแบบ “เอาต์คลาส” 5-0 เก็บเพิ่มเป็น 77 คะแนน ทิ้งห่าง ลิเวอร์พูล 3 แต้ม (แข่งมากกว่า 1 นัด) และหนี แมนฯซิตี้ เป็น 4 แต้ม (แข่งมากกว่า 2 นัด)

ซึ่งจากตารางคะแนนดังกล่าวทำให้ย้อนนึกถึงช่วงนี้ของฤดูกาลที่แล้ว เมื่ออาร์เซน่อลขึ้นเป็นจ่าฝูงเหนือแมนฯซิตี้อยู่นานเกือบทั้งซีซั่น แต่พวกเขาไปหลุดฟอร์มในช่วงโค้งสุดท้าย พลาดแชมป์ไปอย่างน่าเสียดาย

ส่งผลให้ปีนี้ “เดอะ กันเนอร์ส” ตั้งเป้าขอลบล้างความผิดหวังครั้งนั้นให้ได้ และด้วยประสบการณ์ที่มากขึ้น การรู้จักยืดหยุ่นผ่อนหนักผ่อนเบา และที่ชัดเจนที่สุดก็คือสถิติแนวรับที่ถือว่าดีที่สุดใน 5 ลีกดังของยุโรป (นับเฉพาะเมื่อเริ่มปฏิทินปี 2024 เป็นต้นมา) ทำให้พวกเขามีโอกาสไม่น้อยที่จะลบความผิดหวังในซีซั่นที่ผ่านมาได้

อาร์เซน่อล บันทึกคลีนชีตในลีกได้เป็นครั้งที่ 16 จากเกมกับเชลซี เป็นการเน้นย้ำถึงแนวรับที่ยอดเยี่ยมของพวกเขา ด้วยการมีสถิติเกมรับที่ดีที่สุดในลีก โดยเสียไปเพียง 26 ประตู น้อยกว่าลิเวอร์พูล ทีมอันดับ 2 ถึง 6 ประตู 

อาร์เซน่อล กับการพัฒนาเกมรับที่อาจส่งให้ถึงแชมป์พรีเมียร์ลีก อาร์เซน่อลเสียไปแค่ 0.77 ประตูต่อเกมในฤดูกาลนี้ ซึ่งดีกว่าฤดูกาลที่แล้วอย่างมากเมื่อพวกเขาเสียไปถึง 43 ประตู (เฉลี่ย 1.13 ประตูต่อเกม) เกมรับของพวกเขาดีขึ้นมาเมื่อได้ผู้เล่นคนสำคัญอย่าง ดีแคลน ไรซ์  มาร่วมทีม ทำให้ค่าตัวนับร้อยล้านปอนด์ของเขากลายเป็นการ “คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม” หลังเปลี่ยนบทบาทจากนักเตะเบอร์ 6 กลายเป็นเบอร์ 8 ที่วิ่งพล่านไปทั่วสนาม โดยใช้ จอร์จินโญ่ เล่นในบทบาทตัวลึกแทน 

การผนึกกำลังกันของ ดีแคลน ไรซ์ และ จอร์จินโญ่ สร้างความแข็งแกร่งในการป้องกันก่อนถึงแบ็กโฟร์ได้เป็นอย่างดี และผลลัพธ์ก็คือนับตั้งแต่ปี 2024 อาร์เซน่อลเสียไปแค่ 6 ประตูเท่านั้นจาก 14 เกมในลีก

มิเกล อาร์เตต้า ค่อยๆสร้างแนวรับที่แข็งแกร่งทีละน้อย กาเบรียล มาร์กัลเญส และ วิลเลี่ยม ซาลิบา ถือเป็นคู่หูเซ็นเตอร์แบ็กที่ดีที่สุดในลีก จนกล่าวกันว่าหาก ซาลิบา ไม่โชคร้ายบาดเจ็บในปีก่อน “ปืนใหญ่” คงซิวแชมป์ลีกไปแล้ว เพราะตอนนั้น ร็อบ โฮลดิ้ง ไม่สามารถก้าวขึ้นมาทดแทนได้

และตอนนี้ ซาลิบา ก็ถูกประเมินค่าตัวว่าอยู่ในเกรดเดียวกับยอดเซ็นเตอร์แมนฯซิตี้อย่าง รูเบน ดิอาส ไปแล้ว (ค่าตัวประเมินอยู่ที่ 80 ล้านยูโรเท่ากัน) 

ดาบิด ราย่า คืออีกคนที่เป็นกุญแจสำคัญในแนวรับ หลังยกระดับขึ้นมามากจนแย่งตำแหน่งนายทวารมือ 1 มาจาก อาร่อน แรมส์เดล ได้สำเร็จ โดย ราย่า มีลุ้นคว้ารางวัลถุงมือทองคำจากการเก็บคลีนชีตมากที่สุดในซีซั่นนี้ (ตอนนี้ทำไปแล้ว 14 คลีนชีต นำหน้า จอร์แดน พิคฟอร์ด ของเอฟเวอร์ตัน 4 ลูก) 

อาร์เซน่อล กับการพัฒนาเกมรับที่อาจส่งให้ถึงแชมป์พรีเมียร์ลีก ด้านนักเตะสารพัดประโยชน์อย่าง โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ ก็ถือเป็นกุญแจสำคัญของทีมเช่นกันหลังกลับมาฟิตสมบูรณ์อีกครั้ง และได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงอย่างต่อเนื่องในช่วงหลัง แถมการได้ ยาคุบ คีวิออร์ เข้ามา ก็ทำให้การแข่งขันแย่งตำแหน่งตัวจริงมีความเข้มข้นขึ้น และทั้งคู่ก็ช่วยกันยกระดับกันและกันไปอีกขั้นหนึ่ง

ส่วนในตำแหน่งแบ็กขวา เบน ไวท์ มีฤดูกาลที่โดดเด่นหลังเปลี่ยนตำแหน่งจากเซ็นเตอร์แบ็กมาประจำการริมเส้น และเขาเป็นปัจจัยสำคัญในสถิติแนวรับของอาร์เซน่อลเวลานี้อย่างยิ่ง

ด้วยฟอร์มแบบนี้ มิเกล อาร์เตต้า มีโอกาสไม่น้อยที่จะได้ถ้วยแชมป์พรีเมียร์มาประดับในตู้โชว์ และหากเขาทำสำเร็จ ส่วนหนึ่งก็ต้องยกเครดิตให้ “แบ็กโฟร์” ในปัจจุบัน ที่ทำให้แฟนๆลืมชื่อของตำนานยุคเก่าอย่าง เดวิด ซีแมน, โทนี่ อดัมส์, มาร์ติน คีโอว์น, ไนเจล วินเทอร์เบิร์น และ ลี ดิ๊กซั่น ไปได้สนิท

อาร์เซน่อล กับการพัฒนาเกมรับที่อาจส่งให้ถึงแชมป์พรีเมียร์ลีก

logoline