ดราม่าเดือดชายหาดส่วนตัว จ.ภูเก็ต กรณี "ฝรั่งเตะหมอ" เนื่องจากไม่พอใจที่เข้าไปนั่งบริเวณชายหาด หน้าวิลล่าหรู โดยผู้ใช้เฟซบุ๊ก "Chaiyachot Uttamang" โพสต์ร้องเรียนขอความเป็นธรรมให้กับลูกสาว ซึ่งเป็นคุณหมออยู่ที่ จ.ภูเก็ต ว่า ถูกชายชาวต่งชาติ ซึ่งเป็นเจ้าของศูนย์อนุรักษ์ช้างฯ ใช้เท้าเตะบริเวณกลางหลัง ที่นั่งอยู่บริเวณบันไดทางลงชายหาด โดยอ้างว่าเป็นการบุกรุก
หนำซ้ำภรรยาคนไทยของต่างชาติคนดังกล่าว ยังด่าทอลูกสาวด้วยถ้อยคำหยาบคาย อ้างว่าลูกชายเป็นตำรวจ ยิงคนตายก็ไม่ผิด และยังบอกอีกว่ารู้จักนายตำรวจใหญ่ของภูเก็ต จะเอาลูกสาวของตนเองเข้าคุกให้ได้
ขณะที่ คุณหมอ ที่ถูกทำร้ายได้เข้าแจ้งความที่ สภ.ถลาง กระทั่งเป็นข่าวใหญ่ กระแสสังคมออกมาเคลื่อนไหวขอความเป็นธรรมให้คุณหมอ และขอให้เนรเทศชาวต่างชาติที่ทำร้ายคนไทย กระทั่งผู้ว่าฯภูเก็ต ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบชอบความประพฤติของชาวต่างชาติ ที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตผ่านคณะกรรมการ ซึ่งเรื่องราวอาจจะบานปลายถึงขั้นเพิกถอนวีซ่า
เปิดข้อมูล ครอบครอง "ชายหาด" ได้หรือไม่?
ประเด็นข้อพิพาทระหว่างสองฝ่าย มีพื้นที่ชายหาดติดทะเลเป็นสถานที่เกิดเหตุ สิ่งแรกที่ต้องพิจารณาคือ บุกรุกหรือไม่ ใครคือผู้ครอบครองพื้นที่พิพาท
ปัญหาการครองครองพื้นที่ชายหาด มีกรณีพิพาทปรากฎอย่างต่อเนื่อง บางกรณีประชาชนทั่วไปถูกเจ้าของกิจการ เจ้าของโรงแรมไล่ออกจากพำนที่ โดยอ้างว่าเป็นชายหาดส่วนตัว
แต่รู้หรือไม่ ชายหาดทุกแห่งทั่วประเทศเป็น “ที่สาธารณะประโยชน์” ครอบครองส่วนตัวไม่ได้!!
กฎหมาย "ชายหาด" เป็นพื้นที่สาธารณะประโยชน์
นิยามของ "ชายหาด" หมายถึง ที่ดินที่น้ำทะเลขึ้นและลง เป็นที่ดินที่น้ำท่วมถึง จรดไปถึงแนวพันธุ์พืชและพันธุ์ไม้ของแผ่นดิน จากจุดนี้ลงไปสุดทะเล ถือเป็น "ชายหาด" ซึ่งถือเป็น ที่ดินสาธารณะ เป็นสมบัติของแผ่นดินที่ให้ประชาชนใช้ร่วมกัน
ดังนั้น สมบัติของแผ่นดิน จึงแปลว่า บุคคลใดจะยึดถือครอบครอง หรือมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวไม่ได้ ดังนั้นที่ดินที่น้ำทะเลขึ้นและลง น้ำทะเลท่วมถึง เป็นชายหาด ที่ดินสาธารณะที่ห้ามครอบครอง
กฎหมายเกี่ยวข้องกับ "ชายหาด" ทั่วไทย
สำหรับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ "ชายหาด" พื้นที่สาธารณะที่พลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกันนั้น มีดังนี้
สำหรับกรณี ชายหาด หรือ หาดทราย แม้จะไม่มีประชาชนเข้าไปใช้ประโยชน์ร่วมกัน แต่ยังถือเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่สงวนไว้สำหรับประชาชนใช้ร่วมกัน ยกเว้นมีการออกกฎหมาย หรือพระราชกฤษฎีกาให้ถอนสภาพจากการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันเท่านั้น
นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดแนวถอยร่นจากหน้าหาดไปจนถึงชายทะเล โดยส่วนใหญ่จะต้องไม่มีการใช้ประโยชน์ส่วนบุคค ในระยะ 30-50 เมตร รวมทั้งยังมีข้อกำหนดเรื่องการก่อสร้างอาคารสูงได้แค่ไหน และมีข้อห้ามกับกิจกรรมที่จะกระทบต่อชายหาดด้วย
เปิดข้อกฎหมาย รุกล้ำที่ดินสาธารณะ
ประมวลกฎหมายที่ดิน ได้บัญญัติให้ความคุ้มครองเป็นพิเศษแก่สาธารณสมบัติของแผ่นดินไว้ ตามนัยมาตรา 9 มาตรา 108 และมาตรา 108 ทวิ ดังนี้
มาตรา 9 "ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยการเหมืองแร่ และการป่าไม้ ที่ดินของรัฐถ้ามิได้มีสิทธิครอบครองหรือมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว ห้ามมีให้บุคคลใด
บุคคลซึ่งเข้าไปครอบครองหรือทำการใดๆ ในที่ดินของรัฐโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ย่อมเป็นผู้ฝ่าฝืนมาตรา 9 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน คือเป็นผู้บุกรุกที่ดินของรัฐตามปกติเมื่อมีการบุกรุกที่ดินของรัฐ พนักงานเจ้าหน้าที่จะต้องดำเนินการให้ผู้บุกรุกออกไปจากที่ดิน หากไม่ยอมออก พนักงาน เจ้าหน้าที่จะดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดีทางโรงศาล
ปัจจุบันได้มีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2515 แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน โดยบัญญัติโทษที่จะลงแก่ผู้บุกรุกที่ดินของรัฐไว้ในมาตรา 108 และมาตรา 108 ทวิ ดังนี้
มาตรา 108 "ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 9 อยู่ก่อนวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ใช้บังคับพนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ฝ่าฝืนปฏิบัติตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด ถ้าผู้ฝ่าฝืนเพิกเฉยหรือไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามระเบียบให้พนักงาน เจ้าหน้าที่มีคำสั่งเป็นหนังสือให้ผู้ฝ่าฝืนออกไปจากที่ดิน และหรือรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในที่ดินภายในระยะเวลา ที่กำหนด ถ้าไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ในการกำหนดระเบียบตามวรรคหนึ่ง คณะกรรมการจะกำหนดให้ผู้ฝ่าฝืน ต้องเสียค่าตอบแทนในการใช้ที่ดินนั้นให้แก่รัฐหรือราชการบริหารส่วนท้องถิ่นด้วยก็ได้"
มาตรา 108 ทวิ "นับแต่วันที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ใช้บังคับผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 9 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าความผิดในวรรคหนึ่งได้กระทำแก่ที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน หรือที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าความผิดตามวรรคสองได้กระทำเป็นเนื้อที่เกินกว่าห้าสิบไร่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ในกรณีที่มีคำพิพากษาว่าผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรานี้ ศาลมีอำนาจสั่งในคำพิพากษาให้ผู้กระทำผิด คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของผู้กระทำความผิดออกไปจากที่ดินนั้นด้วย
บรรดาเครื่องมือ เครื่องใช้ สัตว์พาหนะ หรือเครื่องจักรกลใดๆ ซึ่งบุคคลได้ใช้ในการกระทำ ความผิด หรือได้ใข้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดดังกล่าวให้ริบเสียทั้งสิ้นไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่"