svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

เห็นด้วยไหม หมอโพสต์อยากย้ายประเทศหนี ร่ายยาวเงินเดือน 2.2 แสนไม่พอใช้

04 มกราคม 2567
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

เห็นด้วยไหม หมอหนุ่มโพสต์อยากย้ายประเทศหนี ร่ายยาวเงินเดือน 2.2 แสนบาท ไม่พอใช้ แจงค่าใช้จ่ายยิบ อัดสวัสดิการรัฐไม่หนุน

เป็นประเด็นร้อนที่ผู้คนในโลกโซเชียล พากันแชร์และวิพากษ์วิจารณ์กันเป็นอย่างมาก กรณีที่มี ผู้ใช้เฟซบุ๊ก รายหนึ่ง อ้างเป็นแพทย์เฉพาะทาง โพสต์ข้อความระบายความในใจลงใน เพจเฟซบุ๊ก "โยกย้าย มาส่ายสะโพกโยกย้าย" หรือ ชื่อเดิมว่า "ย้ายประเทศกันเถอะ" ซึ่งเป็นกลุ่มปิด เป็นกลุ่มที่มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการใช้ชีวิตในต่างประเทศระหว่างสมาชิก รวมถึงแนะแนวทางการย้ายประเทศ จนเป็นเคยเป็นกระแสโด่งดัง ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 1.1 ล้านคน 
เห็นด้วยไหม หมอโพสต์อยากย้ายประเทศหนี ร่ายยาวเงินเดือน 2.2 แสนไม่พอใช้

ทั้งนี้ ผู้โพสต์ได้ระบายความในใจ พร้อมเหตุผลที่อยากย้ายประเทศ เพราะทำงานเท่าไหร่ ก็มีค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่าย แม้จะมีรายได้เดือน 2.2 แสน ก็ตาม โดยระบุว่า 

เราอยากย้ายประเทศมากๆ อยากเปิดโอกาสให้ตัวเองดู ที่ไหนก็ได้ที่อาจไปได้ ติดอย่างเดียวคือภรรยาไม่เอาด้วยเลย เขาไม่อยากไป เราเลือกเขาแล้ว ก็ต้องอยู่ด้วยกันไป แต่เรามองชีวิตทุกวันนี้แล้วเราซึมๆ ยังไงไม่รู้ 

รู้สึกแค่ว่าทำงานเท่าไหร่ ก็ไม่เพียงพอที่จะได้คุณภาพชีวิตที่ดี เราเป็นแพทย์เฉพาะทาง รายได้ประมาณ 220K ต่อเดือน มีลูก 1 คน ภรรยาที่ลาออกมาดูลูก fulltime แต่พอแจกแจงรายละเอียดต่อเดือนแล้ว เราแทบไม่เหลือเงินพอต่อเดือนที่จะทำตามฝันตัวเองได้

  • ค่าบ้าน 40,000 ต่อเดือน
  • ค่ารถ 13,000 ต่อเดือน
  • ค่าเงินเดือนภรรยา 30,000 ต่อเดือน (เราตั้งใจให้เลย เพราะงานดูแลลูก+บ้าน เราคิดว่าเหนื่อยมาก)
  • ค่าประกันลูก+รถ+ชีวิต 20,000 ต่อเดือน
  • ค่าลดหย่อนภาษี 30,000 ต่อเดือน
  • ค่าเทอมลูกในอนาคต 25,000 ต่อเดือน (แพลน english program ร.ร.เอกชน)
  • ค่าใช้จ่ายกองกลางในบ้าน 20,000 ต่อเดือน
  • เงินใช้จ่ายส่วนตัว 15,000 ต่อเดือน
  • เงินออมส่วนตัว 15,000 ต่อเดือน 
     

อันนี้ยังไม่รวมภาษีที่ต้องจ่ายต่อปีอีกประมาณ 60,000 บาท เราโชคดีที่พ่อแม่ไม่เคยเรียกร้องอะไรเลย ท่านดูแลตัวเองได้ เราประหยัด ใช้รถไม่แพง ไม่มีของแบรนเนม เลิกคิดเรื่องไปเที่ยวไกล ๆ เพราะว่าต้องดูแลครอบครัวก่อน 

เราเชื่อว่านี่เป็น ค่าใช้จ่ายที่ทุกคนจะต้องเจอ เรารู้สึกว่าประเทศเราไม่มีสวัสดิการใด ๆ จะมา support ช่วยเราให้ชีวิตง่ายขึ้นคุ้มกับภาษีที่เสียไปเลย

– เราต้องเสียเวลาที่จะอยู่กับครอบครัวไปบนท้องถนนมากเท่าไหร่ต่อวัน
– การมีลูกที่เราต้องดูแลลูกเองทุกอย่าง การเจ็บป่วย ที่ใครมีลูกเล็กจะรู้เลยว่าการไปรอคิวนานๆ ไม่สามารถทำได้จริง วัคซีนที่ดี ๆ ที่เราต้องจ่ายเองเพิ่ม รวมถึงการศึกษาของลูกซึ่ง ร.ร.รัฐที่ค่าใช้จ่ายไม่แพงไม่เพียงพอต่ออนาคตลูก การลาคลอดของแม่ที่ได้เพียงแค่สามเดือน แล้วหลังจากนั้นต้องโดนกึ่งบังคับกลับไปทำงานต่อ ทั้ง ๆ ที่นมแม่ควรจะให้ลูกถึง 6 เดือน
– ค่าบ้านในกรุงเทพซึ่งเป็นปัจจัย 4 ซึ่งแพงจนเราคิดว่า มันไม่สมดุลกับรายได้คนส่วนใหญ่เป็นอย่างมาก แพงโดยไร้การควบคุมใด ๆ
– ภาษีที่ต้องจ่ายไป ต้องหารายได้มาลดหย่อนให้มากที่สุด เพราะรู้สึกไม่คุ้มที่จะจ่าย ข่าวโกงกินเยอะมาก ข่าวกู้เงินมาแจก คนที่ไม่เคยคิดจะเสียภาษี แล้วเราต้องเป็นหนี้โดนเงินที่จ่ายไป จะไม่ได้นำมาทำให้เกิดประโยชน์มากกว่านี้
– เราว่าขนาดเราหารายได้ได้เยอะระดับนึง ยังคิดว่าเราเหนื่อยเลย ที่ต้องดูแลครอบครัวแบบนี้ แบบที่เราตั้งใจจะทำให้ได้ แล้วคนอีกตั้งเยอะที่เขาได้ไม่เยอะเท่าเรา เขาจะลำบากอีกแค่ไหน 

เห็นกระทู้คนย้ายสำเร็จทุกครั้ง ก็ได้แต่ดีใจด้วย ยิ่งได้อ่านสวัสดิการของประเทศอื่นที่ดี ๆ ก็ได้ยิ่งดีใจกับคนนั้นไปใหญ่ ว่าเค้าจะได้เบาแรงลง หาเงินได้ ดูแลครอบครัวได้ มีเงินเก็บมากขึ้น ง่ายขึ้น เร็วขึ้น ยินดีกับทุกคนที่ย้ายได้สำเร็จจริง ๆ ครับ........

เห็นด้วยไหม หมอโพสต์อยากย้ายประเทศหนี ร่ายยาวเงินเดือน 2.2 แสนไม่พอใช้  

ทั้งนี้ภายหลังจากที่โพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ ได้มีสมาชิกภายในกลุ่ม เข้ามาให้กำลังใจ รวมถึงให้คำแนะนำในการใช้ชีวิต และการบริหารจัดการเงิน โดยส่วนใหญ่แนะนำให้ลดค่าใช้จ่าย อาทิ

ตัวอย่างความคิดเห็นสมาชิกในกลุ่ม  

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่มีการแชร์เรื่องนี้ออกไปยังโลกโซเชียลนอกกลุ่ม ชาวเน็ตได้พากันวิจารณ์กันอย่างเผ็ดร้อน รวมถึงมีการเทียบกับผู้ที่ได้รับค่าแรงขั้นต่ำปัจจุบันของไทย  อาทิ "เมื่อหมอบ่น อยากย้ายประเทศ เพราะไทยค่าใช้จ่ายสูงว่าแต่ หมอ รู้หรือยัง ว่าใบประกอบโรคศิลป แต่ละประเทศใช้แทนกันไม่ได้" , "ประเทศไทยคือประเทศที่แย่ที่สุดในโลก อ้างอิงจาก กลุ่ม โยกย้าย มาส่ายสะโพกโยกย้าย"

ตัวอย่างความคิดเห็นชาวเน็ต
ตัวอย่างความคิดเห็นชาวเน็ต
 

เปิดค่าแรงขั้้นต่ำของประเทศไทยปี 2566 อัปเดตล่าสุด 

สำหรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำของประเทศไทยนั้น เพิ่งมีการปรับเพิ่มขึ้น โดยเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2566 ที่ประชุมคณะกรรมการค่าจ้าง หรือไตรภาคี ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ ให้ยึดมติเดิมในการปรับ "ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ" ปี 2567 คือ ปรับเพิ่มขึ้นอัตราวันละ 2-16 บาท เฉลี่ย 2.37%

จังหวัดที่ได้ค่าจ้างสูงสุดคือ จ.ภูเก็ต ค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 370 บาท รองลงมา กทม. นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร 360 บาท ต่ำสุด จ.นราธิวาส ปัตตานีและยะลา วันละ 330 บาท

โดยในการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2566 ได้มีมติเห็นชอบ และมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 2566 ให้มีผลตั้งแต่ 1 ม.ค. 2567 ที่ผ่านมา  

โดยค่าแรงขั้นต่ำดังกล่าวนั้น นายกรัฐมนตรี "เศรษฐา ทวีสิน" ถึงกับบ่นอุบว่า "น้อยเกินไปไม่พอซื้อไข่" 

เห็นด้วยไหม หมอโพสต์อยากย้ายประเทศหนี ร่ายยาวเงินเดือน 2.2 แสนไม่พอใช้

 

logoline