
"เมาแล้วขับ" เป็นความผิดร้ายแรงขนาดไหน ?
สำหรับเกาหลีใต้ "เมาแล้วขับ = ฆาตกร" ต่อให้ยังไม่ได้ทำให้ทำให้ใครเสียชีวิตก็ตาม เพราะถือเป็นการกระทำที่เป็น "อาชญากรรมร้ายแรง" ที่ทุกคนจะต้องตระหนักและไม่ประมาท ขณะที่รัฐบาลได้ปรับเปลี่ยนกฎหมายและบทลงโทษมาเรื่อยๆ
โดยจุดเปลี่ยนสำคัญ เกิดขึ้นเมื่อปี 2561 หลังเกิดเคส "ยุน ชางโฮ" ทหารเกณฑ์ที่ถูกคนเมาขับรถชนจนได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างรุนแรง ก่อนเสียชีวิตในเวลาต่อมา ความสูญเสียครั้งนั้นทำให้เพื่อนๆ ของเขา รวมตัวกันร่างกฎหมายและเกิดเป็น "พ.ร.บ. ยุนชางโฮ" ที่เรียกร้องให้ปรับบทลงโทษผู้กระทำผิด ที่มี "ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดตั้งแต่ 0.03% ขึ้นไป" ให้ถูกระงับใบขับขี่ทันที และถูกเพิกถอน เมื่อมีปริมาณมากกว่า 0.08% (จากกฎหมายเดิมที่ระบุระดับไว้ที่ 0.05 และ 0.1% )
ข้อมูลจาก "โซล ลอว์ กรุ๊ป" (Seoul Law Group) ระบุว่า การกำหนดบทลงโทษมี 2 แบบ คือ สำหรับผู้ที่ถือใบขับขี่ที่เป็นชาวเกาหลี กับผู้ถือใบขับขี่ที่เป็นชาวต่างชาติ
ผู้มีใบขับขี่เกาหลี
ในกรณีผู้มีใบขับขี่ที่เป็นชาวต่างชาติ โทษก็จะหนักขึ้นไปอีก
ถ้าผู้กระทำผิดเป็นนักแสดงหรืออินฟลูเอนเซอร์ดัง
สำหรับเกาหลีใต้ คนดังในวงการบันเทิงมัก "ถูกคาดหวังให้มีนิสัยและภาพลักษณ์ที่สวยงาม ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับสังคม" ถ้าใครทำความผิดเมาแล้วขับที่เป็นการก่ออาชญากรรมรุนแรง จะถูกลงทัณฑ์ภายใต้คำจำกัดความที่ว่า "ไม่ควรให้พื้นที่ในวงการกับพวกเขาอีกต่อไป" ทำให้หลายๆ คน ต้องหายหน้าหายตาไปจากสื่อ หรือถึงขั้น "หมดอนาคต" บนเส้นทางนี้ไปเลย
มีกรณีศึกษาของ "คิม แซรน" นักแสดงสาวผู้ล่วงลับ ที่เมาแล้วขับรถชนเสาไฟฟ้า ส่งผลให้ไฟฟ้าในพื้นที่บางส่วนดับ แม้ว่าอุบัติเหตุครั้งนั้นจะไม่มีใครบาดเจ็บหรือเสียชีวิต แต่ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดที่มากกว่า 0.08% ก็เปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาล โดยแม้จะเขียนจดหมายขอโทษ แสดงความสำนึกผิดและรับโทษทางกฎหมาย แต่เธอก็ถูกถอดออกจากงานในวงการ รวมถึงต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการทำงานพาร์ทไทม์
คนที่โชคดีกว่า คือคนที่ก่อเหตุก่อนหน้าปี 2561 ที่ยังไม่ถูกมองว่าเป็นเรื่องร้ายแรง เช่น "อี จองแจ" นักแสดงนำจากซีรีส์ดัง "Squid Game" ที่มีประวัติเมาแล้วขับถึง 2 ครั้ง คือในปี 2542 และ 2545 แต่ก็สามารถกลับเข้าสู่วงการได้ ทั้งยังเป็นนักแสดงแถวหน้าที่ประสบความสำเร็จอย่างมากอีกด้วย