
16 สิงหาคม 2568 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ และประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ต่างเดินทางออกจากเมืองแองเคอเรจ รัฐอะแลสกา ของสหรัฐฯ หลังได้พบปะกันเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี ในการประชุมสุดยอดเพื่อยุติสงครามยูเครน "แบบปิดลับ" นาน 3 ชั่วโมง
ซึ่งจอห์น โบลตัน อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติและอดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ ได้วิเคราะห์ว่า การประชุมที่สิ้นสุดลงโดยที่ผู้นำทั้งสองไม่สามารถบรรลุความตกลงใดๆ ได้ แม้จะบอกสื่อว่า เป็นการเจรจาก่อผลลัพธ์ที่ดีนั้น แสดงให้เห็นว่า ทรัมป์ไม่ได้แพ้ แต่ปูตินชนะขาดลอย (Trump did not lose, but Putin clearly won)
การที่ทรัมป์กล่าวในระหว่างการแถลงข่าวหลังการประชุมว่า "ยังไม่มีข้อตกลง จนกว่าจะมีข้อตกลง" (there’s no deal until there’s a deal) นั้น สำนักข่าวรอยเตอร์ได้วิเคราะห์ว่า การเจรจาในเบื้องต้นดูเหมือนจะยังไม่ก่อให้เกิดความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ ในการนำไปสู่การหยุดยิงในความขัดแย้งที่รุนแรงที่สุดในยุโรปในรอบ 80 ปี ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ทรัมป์ตั้งไว้ก่อนหน้าการประชุมสุดยอดครั้งนี้ แต่การที่ได้นั่งพูดคุยแบบตัวต่อตัวทรัมป์ ถือเป็นชัยชนะสำหรับปูติน ที่ถูกผู้นำชาติยุโรปแสดงท่าทีต่อต้านมาตั้งแต่รัสเซียเปิดฉากสงครามรุกรานยูเครนเต็มรูปแบบ เมื่อปี 2565
ด้านนิตยสารไทม์ (TIME) ระบุว่า การประชุมครั้งนี้ ที่ทรัมป์เคยเรียกว่า "เดิมพันสูง" จบลงเร็วกว่าที่คาดไว้ และด้วย "ท่าทีที่อ่อนลงสำหรับสหรัฐฯ" โดยไม่มีการบรรลุขั้นตอนที่เป็นรูปธรรมในการหยุดยิง และทรัมป์ก็ตัดการแถลงข่าวร่วมกันให้สั้นลง ไม่ตอบคำถามของผู้สื่อข่าว โดยบอกเพียงว่า จะพบกันอีกครั้ง ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นที่มอสโก
นอกจากนี้ ปูตินดูเหมือนจะเป็นคนที่ควบคุมบรรยากาศการแถลงข่าว ซึ่งปกติแล้ว เจ้าภาพจะพูดก่อนและต้อนรับผู้นำที่มาเยือน แต่เมื่อผู้นำทั้งสองก้าวเข้าไปที่โพเดียม ทรัมป์กลับยื่นมือออกไปเพื่อเชิญให้ปูตินพูดก่อน ปูตินก็พูดนานถึง 8 นาที ที่เขาบอกว่า
"เราได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดี น่าเชื่อถือ มีความเป็นมืออาชีพ และมีเหตุผลทุกประการที่จะเชื่อว่า การเดินหน้าตามเส้นทางนี้ เราจะสามารถยุติความขัดแย้งในยูเครนได้"
แต่เขาก็ไม่ได้ให้รายละเอียดว่าจะเกิดขึ้นได้อย่างไร และยังกล่าวเป็นเชิงเตือนบรรดาผู้นำยุโรปและเซเลนสกี ให้หลีกเลี่ยงสิ่งที่กำลังดำเนินอยู่ แม้ว่าชะตากรรมของยูเครนจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อพวกเขาก็ตาม เขากล่าวอย่างชัดเจนว่า
"เราคาดหวังว่ายูเครนกับยุโรปจะมองเรื่องนี้อย่างสร้างสรรค์ ไม่สร้างอุปสรรคใดๆ และจะไม่พยายามขัดขวางความก้าวหน้าที่กำลังเกิดขึ้นผ่านการยั่วยุและการวางแผนลับหลัง"
หลังจากปูตินพูดจบ ทรัมป์ก็พูดเพียง 3 นาที โดยบอกว่า เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับปูตินมาโดยตลอด แต่การสอบสวนเกี่ยวกับความพยายามของรัสเซีย เรื่องแทรกแซงการเลือกตั้ง ปี 2559 ที่เขาเรียกว่า "รัสเซีย โฮ้กซ์" (Russia hoax) หรือ เรื่องจอมปลอมเกี่ยวกับรัสเซีย ได้ขัดขวางไม่ให้พวกเขาทำงานร่วมกันในช่วงแรกของการดำรงตำแหน่งของทรัมป์
เดิมทีการประชุมสุดยอดครั้งนี้ ถูกวางแผนไว้ให้เป็นการหารือแบบตัวต่อตัวระหว่างทรัมป์กับปูติน แต่ได้มีการปรับเปลี่ยนในนาทีสุดท้าย โดยให้มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ, สตีฟ วิทคอฟฟ์ ทูตพิเศษเพื่ตะวันออกกลางของสหรัฐฯ ที่ประสานการจัดประชุมสุดยอด กับฝั่งของปูตินอีก 2 คน เข้าร่วมด้วย โดยให้เป็นเจรจารูปแบบ 3 ต่อ 3 เพื่อให้มีความชัดเจนมากขึ้น และต่างก็จะได้มีโอกาสพูดคุยในประเด็นของตัวเอง
และไฮไลต์ของการประชุมครั้งนี้ ยังอยู่ที่ปูติน จากการที่เขากล่าวแทรกช่วงที่ทรัมป์ปิดจบการแถลงข่าว ด้วยการกล่าวเป็นภาษาอังกฤษเชิญให้จัดการประชุมสุดยอดครั้งหน้าที่มอสโกว่า "ครั้งต่อไปที่มอสโก" (Next time in Moscow) ซึ่งทรัมป์ตอบว่า คำพูดนี้ อาจทำให้เขา "รู้สึกกดดันเล็กน้อย" แต่ก็มองเห็นความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น