
11 สิงหาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม้ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย จะมีหมายจับระหว่างประเทศ และแสดงท่าทีคุกคามประเทศสมาชิกองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ หรือ นาโต แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้สำคัญสำหรับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ประกาศเมื่อคืนวันศุกร์ (8 สิงหาคม) ว่า เขาจะพบกับปูตินในวันศุกร์ (15 สิงหาคม2568) ที่รัฐอะแลสกา เพราะสิ่งที่เป็นความปรารถนาของเขา ก็คือ ความสำเร็จในการหยุดการนองเลือดในยูเครน ซึ่งเป็นความขัดแย้งที่เลวร้ายที่สุดในยุโรป นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 และบรรลุหนึ่งในคำสัญญาหาเสียงที่ใหญ่ที่สุดของเขา โดยมีรายละเอียดดังนี้
การประชุมสุดยอดครั้งนี้ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2564 ที่อดีตประธานาธิบดี โจ ไบเดน พบกับปูติน ที่นครเจนีวาของสวิตเซอร์แลนด์ และอาจเป็นก้าวสำคัญในการยุติสงครามในยูเครน แม้ว่าจะยังไม่มีการรับประกันว่าจะสามารถหยุดการสู้รบได้จริงหรือไม่ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายยังคงมีความต้องการที่แตกต่างกัน
ปฏิกิริยาจากผู้นำโลก
การประชุมครั้งนี้ จะเป็นการทดสอบความสามารถของทรัมป์ ในการยุติสงครามในยูเครนและสร้างสันติภาพในภูมิภาค ท่ามกลางความกังวลของชาติตะวันตกและยูเครนที่ว่า อาจมีการเสนอแผนการที่จะให้ยูเครน "ยอมยกดินแดนบางส่วนให้กับรัสเซียเพื่อแลกกับสันติภาพ" ซึ่งอาจเป็นการเปิดทางให้รัสเซียโจมตีซ้ำในอนาคต
ประเด็นสำคัญในการประชุมสุดยอด
ปฏิกิริยาของชาติตะวันตกและยูเครน
ทิศทางสัญญาณที่บ่งบอกว่า สงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซียอาจสิ้นสุดลง เริ่มปรากฏให้เห็นหลังจากที่ สตีฟ วิทคอฟฟ์ ทูตพิเศษเพื่อตะวันออกกลางของสหรัฐฯ เดินทางกลับจากอิสราเอล และวิทคอฟฟ์ได้พูดคุยกับพันธมิตรใกล้ชิดของปูตินผ่านช่องทางลับ และได้รับ "สาร" ที่บ่งบอกว่าปูตินยินดีที่จะหารือเกี่ยวกับการยุติสงคราม
รายละเอียดการเจรจา
การเตรียมการประชุมสุดยอด
พันธมิตรของสหรัฐฯ หลายประเทศ รวมถึงยูเครน กังวลว่าทรัมป์อาจเสนอแผนการยุติสงครามที่ให้ยูเครนยอมจำนนต่อผู้รุกราน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับเปลี่ยนพรมแดนของยูเครน เมื่อเขาได้พบกับปูติน ขณะที่ปูตินยังไม่ได้ให้คำมั่นว่า จะยกดินแดนหรือลดการรุกรานทางทหาร ซึ่งเขาอ้างว่ายูเครนไม่มีอยู่จริง
ขณะที่เซเลนสกีได้ประณามความคิดที่ทรัมป์และปูติน จะตัดสินใจอนาคตของยูเครนได้โดยลำพัง โดยระบุว่า "การตัดสินใจใดๆ ที่ต่อต้านเรา การตัดสินใจใดๆ ที่ปราศจากยูเครน ก็เท่ากับการตัดสินใจที่ต่อต้านสันติภาพ" และย้ำว่า ยูเครนต้องมีส่วนร่วมในการเจรจาใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับอนาคตของประเทศ