
1 สิงหาคม 2568 ประเทศส่วนใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้องแบกรับภาษีศุลกากรตอบโต้อัตราใหม่ ที่ทำเนียบขาวเรียกว่า "ภาษีสากล" กันถ้วนหน้า มีเพียง 2 ประเทศเท่านั้น ที่ได้รับอัตราภาษีพื้นฐาน 10% คือ สิงคโปร์ ประเทศเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจในระดับสูง กับ ติมอร์-เลสเต ที่ธนาคารโลก (Wolrd Bank) จัดให้เป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางค่อนข้างต่ำ และพึ่งพาการส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติถึง 95% ของรายได้ทั้งหมด
ภาษีศุลกากรอัตราใหม่ ที่มีผลบังคับใช้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 ที่แม้จะลดลงจากอัตราเดิมที่ทรัมป์ประกาศเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 แต่ก็หนักหน่วงอยู่ดีสำหรับบางประเทศ โดยยังมีประเทศที่ถูกกำหนดอัตราภาษีที่สูงกว่าเพื่อน คือ ลาวกับเมียนมา ในอัตรา 40% โดยเมียนมา ยังเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจที่ค่อนข้างอ่อนแอ พึ่งพาภาคเกษตรกรรม แม้จะมีอุตสาหกรรมที่กำลังพัฒนา เช่น การผลิตเสื้อผ้า น้ำมันกับก๊าซธรรมชาติ และอัญมณี แต่ก็มีคู่ค้าแค่จีนเป็นหลัก ทั้งยังถูกปกครองโดยทหาร ทำให้ถูกคว่ำบาตรจากตะวันตก
ส่วนลาว ต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจหลายประการ เช่น หนี้สาธารณะที่สูง, ภาวะเงินเฟ้อ, และการอ่อนค่าของเงินกีบ วิกฤตหนี้ของลาวส่วนหนึ่งมาจากการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ ที่ได้รับการสนับสนุนจากจีนเป็นหลัก ขณะที่การอ่อนค่าของเงินกีบ ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชนและทำให้ภาระหนี้สินเพิ่มสูงขึ้น
ส่วนประเทศที่สามารถปิดดีลได้อย่างพอใจ คือ ไทย กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม ที่ถูกเก็บภาษีในอัตรา 19% หรือ 20% โดยเฉพาะไทยกับกัมพูชา ถูกมองว่าความสำเร็จของการปิดดีล เป็นผลมาจากการหยุดยิง ตามเงื่อนไขของทรัมป์
อัตราภาษี