svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ต่างประเทศ

"อิหร่าน" อ่อนแอแต่ต้องรักษาหน้า แสร้งทำเป็นว่าตนเองแข็งแกร่ง

นักวิเคราะห์ ชี้ การโจมตีฐานทัพอากาศสหรัฐฯ ใน "กาตาร์" แสดงถึงความอ่อนแอ แต่ต้องรักษาหน้าของ "อิหร่าน" เพราะเตือนล่วงหน้าหลายชั่วโมง ความสูญเสียเป็นศูนย์

24 มิถุนายน 2568 การโจมตีฐานทัพอากาศ "อัล อูเดอิด" (Al Udeid) ของสหรัฐฯ ในกาตาร์ ภายใต้รหัส "ปฎิบัติการข่าวดีแห่งชัยชนะ" (Operation Glad Tidings of Victory) ของ "อิหร่าน" เพื่อตอบใต้ที่สหรัฐฯ ใช้ "ปฏิบัติการค้อนเที่ยงคืน" (Operation Midnight Hammer) โจมตีโรงงานเสริมสมรรถนะยูเรเนียม 3 แห่ง ที่ "นาทานซ์, ฟอร์โดว์ และอิสฟาฮาน" ได้บ่งบอกถึง "ความอ่อนแอ" ของอิหร่าน แต่จำเป็นต้องตอบโต้เพื่อ "รักษาหน้า" 

 

"อิหร่าน" อ่อนแอแต่ต้องรักษาหน้า แสร้งทำเป็นว่าตนเองแข็งแกร่ง

 

แม้ "อัล อูเดอิด" จะเป็นฐานทัพอากาศที่สำคัญที่สุดของกองทัพสหรัฐฯ ในภูมิภาค เนื่องจากเป็นที่ตั้งของศูนย์บัญชาการกลาง แต่ในวันที่ตกเป็นเป้าโจมตี ฐานทัพแห่งนี้ว่างเปล่า ภาพถ่ายดาวเทียมที่เผยแพร่ผ่านสื่อ ได้แสดงให้เห็นว่า เครื่องบินหลายลำได้นำบุคคลากรที่ฐานทัพ ออกไปตั้งแต่หลายวันก่อน ส่วนขีปนาวุธที่ถูกยิงเข้าไปในจำนวนที่จำกัด ก็ถูกสกัดกั้นโดยระบบป้องกันภัยทางอากาศที่ดีที่สุดในโลก ที่ดูเหมือนว่า การตอบโต้ของอิหร่านเป็นแค่การ "ขายผ้าเอาหน้ารอด" เท่านั้น เพราะโอกาสที่จะทำให้ชาวอเมริกันบาดเจ็บล้มตายมีค่าเป็น "ศูนย์" 

ที่ "อิหร่าน" ต้องเลือกโจมตีฐานทัพแห่งนี้ ก็เพราะเป็นฐานที่ใช้ปล่อยโดรนเข้าไปสังหาร พลเอกกาเซม สุไลมานี่ อดีตผู้บัญชาการกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (Islamic Revolutionary Guard Corps) หรือ IRGC ที่ได้ชื่อว่าทรงอิทธิพลเป็นอันดับ 2 รองจาก "อยาตอลลาห์ อาลี คาเมเนอี" ผู้นำสูงสุด เมื่อปี 2563 

 

"อิหร่าน" อ่อนแอแต่ต้องรักษาหน้า แสร้งทำเป็นว่าตนเองแข็งแกร่ง

มีการส่งสัญญาณแรกว่า การโจมตีอาจเกิดขึ้นเมื่อสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงโดฮา ของ "กาตาร์" ออกคำสั่งฉุกเฉินให้พลเมือง "หลบภัยอยู่ในสถานที่ของตัวเอง" (Shelter-in-place) ส่วน "กาตาร์" ปิดน่านฟ้าล่วงหน้าประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อเตรียมรับมือขีปนาวุธไม่ถึง 1 โหลของ "อิหร่าน" แสดงถึงการ "ขาดแคลน" ซึ่งยังดีที่กาตาร์อยู่ในระยะที่สามารถยิงขีปนาวุธพิสัยใกล้ ที่ยังมีอยู่ในสต็อกได้ ไม่ถึงกับขาดแคลนเท่าขีปนาวุธพิสัยกลางที่ระดมยิงใส่อิสราเอล เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว 

สภาความมั่นคงแห่งชาติของอิหร่าน ระบุหลังการโจมตีว่า จำนวนขีปนาวุธที่ยิงออกไปมากพอๆ กับจำนวนระเบิดที่ใช้ถล่มโรงงานนิวเคลียร์ของตนเอง โดยเป็นการตอบโต้ไปตามสัดส่วน และไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายต่อกาตาร์ 

"อิหร่าน" อ่อนแอแต่ต้องรักษาหน้า แสร้งทำเป็นว่าตนเองแข็งแกร่ง

 

วิธีการตอบโต้โดย "ปราศจากเขี้ยวเล็บ" ของอิหร่าน เคยประสบความสำเร็จในการลอง และทดสอบมาแล้ว โดยหลังจาก "สุไลมานี่" ถูกสังหาร อิหร่านได้ยิงขีปนาวุธโจมตีฐานทัพอากาศ "อัล อาซาด" ของสหรัฐฯ ในอิรัก แต่ก็ส่งข้อความไปแจ้งเตือนทางอิรักก่อน ที่เป็นไปได้ว่า จะช่วยระดับการบาดเจ็บของทหารสหรัฐฯ ลง ส่วนการตอบโต้อิสราเอลที่ลอบสังหาร "อิสมาอิล ฮานิเยห์" ผู้นำฮามาส ที่ใจกลางกรุงเตหะราน เดือนกรกฎาคม ปีที่ 2567 ก็มีการเตือนล่วงหน้าเช่นกัน 

 

"อิหร่าน" อ่อนแอแต่ต้องรักษาหน้า แสร้งทำเป็นว่าตนเองแข็งแกร่ง

นักวิเคราะห์ ชี้ว่า นี่เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า อิหร่าน ต้องแสร้งทำเป็นว่าตนเองแข็งแกร่ง โดยแสดงความโกรธอย่างมีสติและใจเย็น ขณะที่ สหรัฐฯ กับ อิสราเอล ล้ำเส้นได้ทุกวัน สามารถทำลายข้อห้ามต่างๆ ได้ทุกวัน ทำลายตำแหน่งที่อิหร่านยึดครองมานานในฐานะมหาอำนาจในภูมิภาค ภายในเวลาไม่ถึง 10 วัน ที่อาจยุติความทะเยอทะยานที่จะเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์ก็เป็นได้

ตอนนี้ เหลือเพียงเส้นแบ่งที่ชัดเจนเพียงเส้นเดียว ที่สหรัฐฯ หรืออิสราเอลจะก้าวข้าม นั่นคือ การกำหนดเป้าหมายโดยตรงที่ผู้นำสูงสุดอย่าง "อยาตอลลาห์ อาลี คาเมเนอี" แต่การทำเช่นนี้อาจดูไม่ฉลาดนัก เพราะมีความเป็นไปได้ที่นักบวชวัย 80 ผู้นี้ จะถูกแทนที่ด้วยผู้ที่่อ่อนวัย และห้าวกว่า ทั้งยังกระตือรือร้นที่จะแสวงหาอำนาจในการข่มขวัญมากกว่าการยอมรับการตอบโต้ที่ไร้ผล ท่ามกลางการเสื่อมถอยลงอย่างช้าๆ 

 

"อิหร่าน" อ่อนแอแต่ต้องรักษาหน้า แสร้งทำเป็นว่าตนเองแข็งแกร่ง