
20 ตุลาคม 2568 นายสมชาย ศรีตระกูล ตัวแทนชาวบ้าน 1,665 ราย ที่ได้รับผลกระทบจากกรณีกรมศิลปากรได้มีหนังสือแจ้งกำหนดเขตโบราณสถานทับบ้านเรือน ว่า เมื่อปี 2558 จนถึงวันที่ศาลปกครองสูงสุดได้ตัดสินคดีความเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา ใช้เวลายาวนานกว่า 10 ปี ตนในฐานะที่เป็นหนึ่งผู้ที่ได้รับผลกระทบ ต้องขอขอบคุณความยุติธรรมที่ศาลปกครองได้มีคำตัดสินดังกล่าว เพราะตนเชื่อมั่นว่า ที่พึ่งสุดท้ายของประชาชนคือ ศาล
ตอนเริ่มเกิดคดีใหม่ๆ ทุกคนต่างวิตกที่ต้องต่อสู้กับหน่วยงานภาครัฐ แต่วันนี้เป็นข้อพิสูจน์ได้ว่า สิ่งที่เราเดินมาตามขั้นตอนในสิทธิอันพึงมีของประชาชน ซึ่งศาลตัดสินออกมา เราก็น้อมรับที่ศาลให้ความยุติธรรมกับคนพิมาย หากย้อนกลับไปตอนเริ่มเป็นคดีความ ถือว่าเป็นช่วงวิกฤติเศรษฐกิจของอำเภอพิมายก็ว่าได้ เราถูกลิดรอนสิทธิ แต่เราก็รักษาสิทธิตามขั้นตอนกฎหมาย โดยไปปรึกษาหารือหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง อาทิ สภาเทศบาลตำบลพิมาย นายอำเภอพิมาย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา สภาผู้แทนราษฎร ผู้ตรวจการแผ่นดิน สนช. และอีกหลายหน่วยงาน
ซึ่งได้รับคำแนะนำมาว่าให้ดำเนินตามครรลองของกฎหมาย จนได้ข้อมูลมาหักล้างการลิดรอนสิทธิดังกล่าว มาถึงวันนี้รู้สึกดีใจที่ได้รับความยุติธรรม แต่เป็นระยะเวลากว่า 10 ปี อำเภอพิมายต้องสูญเสียโอกาสการเจริญเติบโตในฐานะเมืองท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัด
ในขณะที่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ 1,665 รายที่ต้องรู้สึกวิตกกังวลกับการต่อสู้กับหน่วยงานภาครัฐ เพราะกว่า 99% คิดว่าจะต้องแพ้คดีความแน่นอน แต่แม้จะเหลือแค่ 1 % ก็ขอยืนหยัดสู้ตามครรลองกฎหมายดีกว่า จนได้รับความยุติธรรมกลับมา ซึ่งหลังจากนี้ไป จะต้องสื่อสารบอกข่าวไปถึงผู้ที่ได้รับผลกระทบทุกรายได้ทราบผลการตัดสิน โดยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน สถาบันการเงิน และนักลงทุนทั้งในพื้นที่และนอกพื้นที่ ให้ได้รับทราบข้อเท็จจริงและคำตัดสินของศาลฯ จะได้กล้าเข้ามาพัฒนาและลงทุนในทุกๆด้านของอำเภอพิมาย
โดยจะประกาศให้ทราบทั่วกันว่า “วันนี้พิมายฟ้าเปิด” แล้ว ทรัพย์สินมีมูลค่าที่เคยถูกประกาศออกมาแล้วทำให้ด้อยค่าลงไป จนก่อให้เกิดวิกฤติไปทั้งอำเภอ วันนี้ฟ้าเปิดได้รับข่าวดีแล้ว
นอกจากนี้ ผลกระทบทางเศรษฐกิจแล้ว ในเรื่องของความเชื่อมั่น ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่าร้านรวงต่างๆ มีการประกาศติดป้ายขาย-เซ้ง ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจลึกมาก ถ้าเป็นไปได้ อยากจะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสถาบันการเงิน และนักลงทุน กลับมามองพิมายในมุมใหม่ว่า ยังเป็นเมืองท่องเที่ยวที่น่าลงทุนและน่าสนับสนุน
ส่วนคดีความกับกรมศิลปากร ตนอยากให้มองในมุมบวก ไม่ควรไปรื้อฟื้นความขัดแย้ง แต่ควรจะก้าวไปข้างด้วยกัน มาช่วยกันพัฒนาอำเภอพิมายกันดีกว่า เพราะตนเชื่อว่า ศักยภาพของเมืองพิมายยังมีอีกมากมายหลายด้าน ถ้าข่าวสารคำพิพากษาในเรื่องนี้ของศาลปกครองสูงสุด ได้ถูกกระจายเผยแพร่ออกไป เป็นบทสรุปให้เห็นได้ว่า เหตุการณ์เชิงลบมันได้ผ่านไปแล้ว เราน่าจะเห็นโอกาสดีดีเกินขึ้นในอำเภอพิมายจากนี้ต่อไป
ด้านนายเชน ตอพิมาย ตัวแทนผู้นำชุมชนในเขตเทศบาลตำบลพิมาย อ.พิมาย จ.นครราชสีมา กล่าวว่า หลังจากทราบข่าวคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุดออกมา ว่าจะไม่มีการเวนคืนรื้อถอนบ้านเรือนของชาวบ้านที่ตั้งอยู่ในเขตโบราณสถานตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายายดังกล่าว ก็เป็นโอกาสที่ดีที่มีหลายครัวเรือนที่วางแผนจะสร้างบ้าน-ปรับปรุงบ้านใหม่ที่เก่าทรุดโทรม จะได้มีโอกาสดำเนินการซ่อมแซม หรือปลูกสร้างใหม่สักที แต่ก็ต้องทำเรื่องขออนุญาตจากกรมศิลปากรก่อน ก็ต้องกระจายบอกข่าวดีให้ทราบโดยทั่วกัน ซึ่งชาวบ้าน มีบ้านเรือนประชาชนที่อยู่ในเขตโบราณสถานแนวคูเมือง-กำแพงเมืองหลายหลังคาเรือนต่างพากันดีใจอย่างมาก เพราะบ้านเก่าผุพังมาหลายปีแล้ว แต่ยังไม่กล้าสร้างใหม่ พอทราบข่าวชาวบ้านต่างดีใจ ขอบคุณศาลปกครองสูงสุดที่ตัดสินให้พื้นที่อยู่อาศัยของชาวบ้านเหล่านี้ จะยังอยู่ในสถานะเดิมไม่มีการเวนคืนที่ดินแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้อธิบดีกรมศิลปากร ระงับการกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานเมืองพิมาย ต.ในเมือง อ.พิมาย จ.นครราชสีมา บางส่วน ซึ่งแจ้งตามหนังสือ ที่ วธ 0402/3315 ลงวันที่ 16 ต.ค.2560 เฉพาะส่วนที่อยู่บริเวณนอกเขตเมืองพิมาย พื้นที่ประมาณ 2,287 ไร่ 2 งาน 77.5 ตารางวา ในคดีที่ชาวบ้านที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ หรือผู้ครอบครองที่ดินในพื้นที่ที่จะประกาศกำหนดเขตที่ดินเป็นเขตของโบราณสถานเมืองพิมาย จำนวน 427 ราย ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองนครราชสีมา เพื่อขอให้ระงับประกาศของอธิบดีกรมศิลปากรที่กำหนดให้ที่ดินเป็นเขตของโบราณสถานเมืองพิมาย พื้นที่ประมาณ 2,658 ไร่ 25 ตารางวา
โดยศาลให้เหตุผลว่า “การที่อธิบดีกรมศิลปากรมีประกาศกำหนดเมืองพิมายเป็นโบราณสถาน ถึงแม้จะมิได้กำหนดเขตพื้นที่ว่ามีพื้นที่ของโบราณสถานจำนวนเท่าใด แต่ก็มีโบราณสถานที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแล้ว และอยู่ภายในเขตกำแพงและประตูทั้งสี่ทิศด้วย และต่อมาได้มีการประกาศกำหนดขอบเขตโบราณท่านางสระผม ลงวันที่ 28 เม.ย.2524 และประกาศกำหนดขอบเขตโบราณกุฎิฤาษีน้อย ลงวันที่ 15 มี.ค.2526 ตามลำดับ จึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่เหมาะสมและจำเป็นแล้ว
อย่างไรก็ตาม อธิบดีกรมศิลปากรยังมิได้กำหนดแนวทางที่ชัดเจนและความจำเป็นที่ต้องกำหนดเขตของโบราณสถาน เพื่อการดูแลรักษาและควบคุมกลุ่มโบราณสถานที่ยังไม่ได้รับการขึ้นทะเบียน และพื้นที่ที่อยู่นอกเขตประตูเมืองพิมาย เช่น ถนนโบราณ แนวคันดิน/ถนนโบราณ และสระช่องแมว รวมทั้ง ส่วนบริเวณที่ไม่มีโบราณสถาน ซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมในระดับรองลงมาจากพื้นที่ในเขตประตูเมืองพิมาย และพื้นที่ที่อยู่ห่างออกไป เช่น บารายใหญ่ด้านทิศใต้ (สระน้ำใหญ่ด้านทิศใต้) และแนวคันดินโบราณบ้านส่วย - ลำน้ำเค็ม คิดเป็นพื้นที่ประมาณ 2,287 ไร่ 2 งาน 77.5 ตารางวา
นอกจากนี้ ยังไม่ปรากฏรายงานการศึกษาและผลการสำรวจที่มีข้อมูลหลักฐานทางวิชาการสนับสนุนว่า พื้นที่ดังกล่าวมีหลักฐานความเป็นโบราณสถานที่มีคุณค่าสำคัญที่เป็นข้อสนับสนุนที่รับฟังได้สมเหตุสมผล และมีความจำเป็นหรือความเร่งด่วนที่เป็นฐานในการใช้ดุลพินิจในการกำหนดเขตที่ดินเป็นเขตของโบราณสถาน เพื่อประโยชน์ในการดูแลรักษาและการควบคุมโบราณสถาน
ดังนั้น การที่อธิบดีกรมศิลปากรจะกำหนดเขตที่ดินดังกล่าวเป็นเขตของโบราณสถานเมืองพิมายที่อยู่บริเวณนอกเขตเมืองพิมาย เป็นการใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย สมควรระงับการกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานเมืองพิมาย ตำบลในเมือง อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา บางส่วน ซึ่งแจ้งตามหนังสือ ที่ วธ 0402/3315 ลงวันที่ 16 ต.ค.2560 เฉพาะส่วนที่อยู่บริเวณนอกเขตเมืองพิมาย พื้นที่ประมาณ 2,287 ไร่ 2 งาน 77.5 ตารางวา