
กรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ทำการสอบสวนคดีพิเศษที่ 58/2568 กรณี การจัดซื้อจัดจ้างโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ อาจมีพฤติการณ์เข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 (ฮั้วประมูล) และมีบุคคลกล่าวโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐต่อพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ในความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามที่เสนอข่าวก่อนหน้านี้
20 มิถุนายน ล่าสุด ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ พร้อม ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีดีเอสไอ หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 58/2568 และ พ.ต.ท.อมร หงศรีทอง ผอ.ความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ (ฮั้วประมูล) รองหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 58/2568 และคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 58/2568
ได้นำสำนวนการสอบสวนคดีพิเศษดังกล่าว รวม 73 แฟ้ม จำนวน 13 กล่อง (31,224 แผ่น) ส่งมอบสำนวนการสอบสวนให้กับ นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่พิจารณาดำเนินคดีต่อเจ้าหน้าที่รัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง
พ.ต.ต.ยุทธนา เปิดเผยว่า ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ทำการสอบสวนคดีพิเศษที่ 58/2568 กรณี การจัดซื้อจัดจ้างโครงการ มิถึก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (แห่งใหม่) อาจมีพฤติการณ์เข้าข่ายเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 และมีบุคคลกล่าวโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐ ต่อพนักงานสอบสวนคดีพิเศษในความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวด้วย นั้นคดีดังกล่าวคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้ทำการสอบสวนพบว่ามีพฤติการณ์และหลักฐานเกี่ยวกับ การดำเนินการตามสัญญาควบคุมงาน ของกลุ่มนิติบุคคลร่วมค้า PKW
โดยปรากฏข้อเท็จจริงว่าในขั้นตอนการเสนอราคาและยื่นคุณสมบัติของผู้เสนอราคา มีพยานยืนยันว่ามีการปลอมลายมือชื่อและเอาชื่อบุคคลอื่นซึ่งไม่มีความสามารถเป็นไปตาม TOR มาใช้เพื่อให้ได้รับการคัดเลือก อันทำให้เกิดการแข่งขันราคาอย่างไม่เป็นธรรม เข้าข่ายเป็นการ “ตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ
โดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม หรือ โดยการกีดกันมิให้มีการเสนอสินค้าหรือบริการอื่นต่อหน่วยงานของรัฐ หรือโดยการเอาเปรียบแก่หน่วยงานของรัฐอันมิใช่เป็นไปในทางการประกอบธุรกิจปกติ” และ “เป็นการร่วมกันใช้อุบายหลอกลวงหรือกระทำการโดยวิธีอื่นใดเป็นเหตุให้ผู้อื่นไม่มีโอกาสเข้าทำการ เสนอราคาอย่างเป็นธรรมหรือให้มีการเสนอราคาโดยหลงผิด” และ “ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอม” ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 4 มาตรา 7 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 มาตรา 268 ประกอบมาตรา 83
พนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้มีการกล่าวหาดำเนินคดีกับบริษัท PKW รวมแล้ว 6 ราย ประกอบกับมีบุคคล จำนวน 2 ราย มากล่าวหาให้ดำเนินคดีอาญากับเจ้าพนักงานของรัฐมีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ด้วย ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นการกล่าวหาเจ้าพนักงานของรัฐกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2568
คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้จัดทำแฟ้มสำนวนและสรุปรายงานการสอบสวนพร้อมความเห็นเสนออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษเพื่อพิจารณาส่งสำนวนการสอบสวนไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามมาตรา 61 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561
ได้พิจารณาและมีความเห็นให้ส่งสำนวนการสอบสวนคดีพิเศษที่ 58/2568 กรณี การจัดซื้อจัดจ้างโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (แห่งใหม่)อาจมีพฤติการณ์เข้าข่ายเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 ที่มีการกล่าวหาเจ้าพนักงานของรัฐกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ฐานความผิดอื่น ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 กำหนดและฐานความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542
"ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติที่จะไต่สวนและวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2561 มาตรา 28 (1) (2) (4) ประกอบมาตรา 30
ซึ่งได้มอบหมาย หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษนำสำนวนการสอบสวนคดีพิเศษดังกล่าว รวม 73 แฟ้ม จำนวน 13 กล่อง (31,224 แผ่น) ส่งมอบสำนวนการสอบสวนให้กับเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป" อธิบดีดีเอสไอ กล่าว