ยศ กิมสวัสดิ์ ประธานสำนักระบบการชำระเงิน สมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ระบบพร้อมเพย์ จะทำให้การโอนเงินจากผู้ส่งไปยังผู้รับได้อย่างสะดวกขึ้น และปิดบังข้อมูลความลับของผู้รับโอนเงิน จริงๆ แล้วเป็นการลงทะเบียนเป็นผู้รับเงินการโอนเงินระบบพร้อมเพย์ ผู้โอนก็ไม่ต้องถามว่า ผู้รับใช้บริการของธนาคารใด เลขที่บัญชี
แต่ระบบพร้อมเพย์ ผู้โอนก็ดำเนินการที่ตู้เอทีเอ็ม แล้วเลือกเมนูพร้อมเพย์ โดยโอนไปยังหมายเลขโทรศัพท์ของผู้รับ หรือเลขบัตรประชาชนของผู้รับ ไม่ต้องใช้เลขที่บัญชีของผู้รับโอน ซึ่งระบบมีการทำมาสกิ้ง (Masking) ให้ตรวจสอบชื่อ-นามสกุลของผู้รับโอน ก่อนกดยืนยันการโอน
การโอนเงินด้วยระบบพร้อมเพย์ ถ้าไม่เกิน 5,000 บาท ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการโอนโอนเงิน 5,000 บาท ขึ้นไปแต่ไม่เกิน 30,000 บาท เสียค่าธรรมเนียม 2 บาทโอนเงิน 30,000 บาทขึ้นไปแต่ไม่เกิน 100,000 บาท เสียค่าธรรมเนียม 5 บาทโอนเงิน 100,000 บาทขึ้นไป เสียค่าธรรมเนียม 10 บาท
ในขณะที่การเงินโอนเงินในระบบเดิม ผู้โอนจะต้องเสียเงินค่าธรรมเนียมในการโอน 25 บาท ซึ่งแพงกว่าระบบใหม่
สำหรับความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวนั้น ปกติธนาคารจะมีหมายเลขโทรศัพท์มือถือ และบัตรประชาชนของผู้ที่มาเปิดบัญชีอยู่แล้ว กรณีที่คนสองคนรู้จักกันก็จะมีเบอร์โทรศัพท์มือถือซึ่งกันและกัน ก็ไม่สามารถนำหมายเลขโทรศัพท์ไปเบิกเงินของอีกฝ่ายได้ เพราะเบอร์โทรศัพท์ หรือเลข 13 หลักบัตรประชาชน เป็นแค่เลขที่อ้างอิงถึงเลขที่บัญชี เพื่อให้รู้ว่าผูกไว้กับบัญชีไหนเท่านั้นเอง แต่ไม่ทำให้รู้เลขที่บัญชี ดังนั้น จึงทำอะไรไม่ได้
ที่ต้องให้ลงทะเบียน เพราะเป็นสิทธิของเจ้าของบัญชี ที่ต้องการผูกโทรศัพท์มือถือกับบัญชีใดระบบนี้มีความปลอดภัยสูงมากกว่าเดิม จะไม่ถูกแฮ็กเงิน เพราะแฮ็กเกอร์จะรู้เพียงแค่เบอร์มือถือ แต่ไม่รู้เลขที่บัญชีเมื่อมีการใช้ระบบพร้อมเพย์ทำให้การใช้เงินสดลดลง จะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเงินสดลดลงไปด้วย
ทั้งนี้ โดยส่วนตัวแล้วแนะนำว่า ให้ผูกเบอร์โทรศัพท์มือถือไว้กับบัญชีหนึ่ง สำหรับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน อีกส่วนหนึ่งผูกไว้กับบัตรประชาชน เพื่อไว้สำหรับรับเงินสวัสดิการจากรัฐ และในอนาคตสำหรับรับเงินเดือน กรณีที่มีการเปลี่ยนเบอร์มือถือก็ให้แจ้งยกเลิกพร้อมกับแจ้งเบอร์มือถือใหม่