โจทย์ของประเทศเวลานี้เป็นผลจากอดีต 1.ด้านเศรษฐกิจที่มีโครงสร้างไม่รองรับการพัฒนาของโลก พึ่งพาปัจจัยภายนอกประเทศ และประชาชนส่วนใหญ่อยู่ในภาคการเกษตรโดยปราศจากการเสริมสร้างความเข้มแข็ง 2.ด้านสังคมที่มีแต่ความเหลื่อมล้ำในทุกๆ ด้าน3.ด้านการเมืองที่มอมเมาและลวงตาประชาชน ทั้งตาบอดสี ไม่เห็นสีอื่นเห็นแต่สีตน ทั้งๆ ที่ทุกคนเป็นสีธงไตรรงค์เหมือนกัน กับสาดสีแบ่งแยกแบบผิดๆ อีกทั้งสายตาสั้นมองความสุขเพียงอายุรัฐบาล ถูกกล่อมขายฝันรอกลับมาเป็นรัฐบาลใหม่ ไม่ยั่งยืน ยื่นปลา ไม่ยื่นเบ็ดไม่สอนวิธีหาปลานายกฯ ระบุ
ผมเชื่อเสมอว่าทุกปัญหามีทางออก หากเราร่วมมือกัน แนวทางประชารัฐที่รัฐบาลนำเสนอจะเป็นการปฏิรูปทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง รวมทั้งส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตยเพราะประชาชนเป็นศูนย์กลาง เป็นเจ้าของประเทศ รัฐต้องไม่ยัดเยียด ต้องระเบิดจากภายในและต้องอาศัยจากมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน ด้วยเทคนิคการทำงานร่วมกัน รู้รักสามัคคีของคนในสังคม ตั้งแต่ระดับฐานรากด้วยการเสริมสร้างความเข้มแข็งของรัฐที่มีธรรมาภิบาล
สี่เสาค้ำยันสังคมไทยที่เราต้องร่วมกันสร้างตามยุทธศาสตร์การพัฒนาประชารัฐคือ 1.ทำกฎหมายให้เป็นกฎหมาย เป็นหลักประกันสิทธิ หน้าที่ เสรี ขจัดความไม่เท่าเทียม แก้ขัดแย้งด้วยศาล และไม่แบ่งแยก แต่สร้างพลังทางสังคม 2.เน้นการมีส่วนร่วม สร้างภาคีและเครือข่าย แนวระดับภาครัฐ เอกชน ประชาชน ปรับดุลยภาพแนวดิ่ง ส่วนการภูมิภาค ท้องถิ่น ชุมชนและเสริมศักยภาพของเอกชน ประชาชนให้เข้มแข็ง รัฐดูแลต้นทาง กลางทางและปลายทางให้ 3.เพิ่มพูนประสิทธิผลและประสิทธิภาพของภาครัฐ ทั้งโครงสร้างการบริหารจัดการบุคลากร ระบบระเบียบให้รองรับการพัฒนาส่งเสริมการทำงานร่วมกันอย่างโปร่งใส เชื่อใจไร้ทุจริต มีระบบประเมินและตรวจสอบได้ 4.มีความหนุนเนื่องของยุทธศาสตร์ชาติ วาระแห่งชาติ และวิสัยทัศน์ร่วมกันของคนในชาติหาก การสร้างบ้านต้องการตามใจคนอยู่เป็นจริงฉันใด พลังศรัทธาในปรัชญาประชารัฐของผมและประชาชนย่อมนำไปสู่จิ๊กซอว์แห่งพลังสามัคคีของเจ้าชุมชนไปจนถึงเจ้าของประเทศได้จริงฉันนั้นนายกฯ ระบุ