svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ต่างประเทศ

PRIMETIME กับ เทพชัย : เบื้องหลังปฏิบัติการสังหาร "คิม จอง นัม"

27 กุมภาพันธ์ 2560
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

นาทีสังหารคิม จองนัม พี่ชายต่างมารดาของคิม จอง อุน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มือสังหารเป็นหญิงสองคนที่เดินประกบจากด้านหลังและละเลงสารพิษใส่หน้าเป้าหมาย ท่ามกลางผู้โดยสารที่กำลังรอขึ้นเครื่องบินหลายร้อยคนในสนามบินนานาชาติของกรุงกัวลา ลัมเปอร์ มันเป็นการฆาตกรรมที่อุกอาจ และแทบไม่มีข้อสงสัยใดๆ นับตั้งนาทีแรกที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นว่าใครเป็นผู้บงการ


มันเป็นการฆาตกรรมที่อุกอาจ  และแทบไม่มีข้อสงสัยใดๆ นับตั้งนาทีแรกที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นว่าใครเป็นผู้บงการ
คิม จอง นัม เป็นลูกชายคนโปรดของอดีตประธานาธิบดี คิมจองอิล  และเชื่อกันว่าครั้งหนึ่งเคยถูกวางตัวให้เป็นผู้สืบทอดอำนาจของคนในตระกูลคิม   แต่สุดท้ายก็ต้องหลีกทางให้น้องชายคิม จอง อุน  และนั่นดูเหมือนจะเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบของคิม จอง นัม
แต่ไม่ว่าใครจะเป็นคนออกคำสั่งให้กำจัดคิม จอง นัม ก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าเป็นการฆาตกรรมที่ถูกวางแผนมาอย่างดี   และเป็นการสังหารในรูปแบบที่ผู้เชี่ยวชาญเรียกว่าเป็น "โซเวียตสไตล์" หรือการฆาตกรรมตามแบบฉบับของหน่วยสืบราชการลับของสหภาพโซเวียตที่เริ่มต้นในยุคสงครามเย็น 
นายคิม จองนัม วัย 46 ปี เดินทางเข้าประเทศมาเลเซียโดยใช้พาสพอร์ตที่ระบุชื่อว่า คิม โชล และระหว่างที่กำลังเดินอยู่ในอาคารสนามบินส่วนของสายการบินต้นทุนต่ำ ของกรุงกัวลา ลัมเปอร์เพื่อเตรียมเดินทางมายังมาเก๊าเมื่อช่วงเช้าวันจันทร์ 13 กุมภาพันธ์ ผู้หญิง 2 คนใช้ยาพิษที่เป็นของเหลวละเลงไปที่ใบหน้าของเขาจากทางด้านหลัง ก่อนจะพากันแยกย้ายหลบหนีไปคนละทิศละทางอย่างรวดเร็วนายคิม พยายามขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่สนามบิน แต่เสียชีวิตระหว่างถูกนำส่งโรงพยาบาลปุตราจายา จากเวลาที่นายคิมถูกทำร้ายจนถึงนาทีที่เสียชีวิตเป็นเวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น
เนื่องจากเขาใช้ชื่อปลอม ทางการมาเลเซียจึงไม่ยืนยันในทันทีว่า ผู้ตายคือคิม จองนัม เจ้าหน้าที่ของเกาหลีใต้เป็นผู้ยืนยันเป็นคนแรกว่าผู้ตายคือนายคิม หลังจากตรวจสอบลายนิ้วมือของเขากับลายนิ้วมือที่ฝ่ายข่าวกรองเกาหลีใต้เก็บตัวอย่างไว้ ต้นตำรับ "การสังหารสไตล์โซเวียต"  ก็คืออดีตสหภาพโซเวียตนั่นเอง
ถึงแม้จะเป็นวิธีการสังหารที่ฝ่ายความมั่นคงหรือฝ่ายข่าวกรองของสหภาพโซเวียตใช้ในการกำจัดศัตรูหรือคนรัสเซียแปรพักต์ในยุคสงครามเย็น แต่ก็ยังเป็นรูปแบบที่เชื่อกันว่าผู้มีอำนาจในกรุงเครมลินยังใช้มาจนถึงทุกวันนี้
การสังหารสไตล์โซเวียต ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างสถานการณ์พรางตา การฆาตกรรมจะทำให้เหมือนเป็นอุบัติเหตุ หรือเกิดจากอาการเจ็บป่วย โดยไม่สามารถสาวถึงตัวมือสังหารได้
แต่หลายกรณีโจ่งแจ้งเกินกว่าที่จะถูกสรุปว่าเป็นอุบัติเหตุหรือการเสียชีวิตแบบธรรมชาติ  และการสืบสวนสอบสวนทำให้เชื่อได้ว่าเป็นเหตุลอบสังหารการสังหารโซเวียตสไตล์ครั้งที่โด่งดังที่สุดเกิดขึ้นในปี 2549 นายอเล็กซานเดอร์ ลิตวิเนนโก อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของรัสเซียได้หลบหนีไปขอลี้ภัยอยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
นายลิตวิเนนโกได้กลายเป็นหอกข้างแคร่ของผู้นำรัสเซียด้วยการเปิดโปงความเลวร้ายในด้านต่างๆ ของรัฐบาลรัสเซีย โดยพุ่งเป้าไปที่ประ ธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินจู่ ๆ  นายลิตวิเนนโกล้มป่วยลงโดยไม่ทราบสาเหตุ และอาการทรุดหนักอย่างรวดเร็วก่อนเสียชีวิต การตรวจสอบพบว่าเขาได้รับสารกัมมันตรังสี ที่มีชื่อว่าโพโลเนียม 210 
ตำรวจอังกฤษเชื่อว่าการเสียชีวิตของนายลิตวิเนนโก เป็นฆาตกรรม และเป็นฝีมือของอดีตเจ้าหน้าที่สองคนของ KGB  ซึ่งเป็นอดีตหน่วยสืบราชการลับของสหภาพโซเซียต 
การสืบสวนพบว่าสารกัมมันตรังสีดังกล่าวถูกลอบผสมในน้ำชาที่เสริฟให้กับนายลิตวิเนนโกขณะอยู่กับอดีตสายลับรัสเซียสองคนนี้ในโรงแรมหรูแห่งหนึ่งกลางกรุงลอนดอน
แม้แต่อดีตประธานาธิบดีวิคเตอร์ ยูเชนโกของประเทศยูเครน ยังตกเป็นเป้าของความพยายามลอบสังหารในโซเวียตสไตล์ ยูเชนโกเป็นหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านที่ไม่ยอมรับอิทธิพลของรัสเซีย
ในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งในปี 2547 นายยูเชนโกถูกทำร้ายด้วยสารที่มีชื่อว่าTCDD ซึ่งเป็นส่วนประกอบของ Agent Orange หรือสารฝนเหลืองซึ่งเป็นสารแบบเดียวกับที่กองทัพอเมริกันใช้โจมตีกองทัพเวียดกงในระหว่างสงครามเวียดนามเมื่อกว่า 40 ปีที่แล้ว   ถึงแม้อดีตผู้นำยูเครนรอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ก็เกือบเสียโฉมเพราะสารดังกล่าวทำให้ใบหน้าบูดเบี้ยวอยู่เป็นเวลาหลายปี แน่นอนว่าผู้ต้องสงสัยที่อยู่เบื้องหลังความพยายามสังหารนายยูเชนโก้คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคนในรัฐบาลรัสเซีย
ถ้าจะบอกว่าการสังหารและพยายามสังหารในโซเวียตสไตล์ด้วยฝีมือของนักสังหารจากอดีตสหภาพโซเวียตหรือรัสเซียเป็นแบบอย่างให้กับเกาหลีเหนือในการกำจัดเป้าหมายที่เป็นศัตรูก็คงไม่ผิด
แต่คำถามที่ใหญ่ที่สุดคือทำไม คิม จอง นัม จึงตกเป็นเป้าของการสังหารถึงแม้จะเป็นถึงพี่ชายต่างมารดาของ คิม จอง อุน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ และครั้งหนึ่งอยู่ในฐานะว่าที่ทายาทสืบทอดอำนาจในกรุงเปียงยาง แต่ในช่วงสุดท้ายของชีวิต คิม จอง นัม เป็นเพียงเพลย์บอยที่หมดเวลาส่วนใหญ่ไปกับการท่องเที่ยว และหาความสำราญ และถึงแม้ทางการจีนยังให้การสนับสนุนคิม จอง นัม อย่างลับๆ  แต่ไม่มีช่วงเวลาไหนที่คิม จอง นัม อยู่ในฐานะที่จะเป็นภัยคุกคามต่อน้องชายที่กุมอำนาจอยู่ในกรุงเปียงยาง
ไม่นานนักหลังจากเหตุการณ์สังหาร ตำรวจมาเลเซียจับตัวผู้ต้องสงสัยซึ่งเป็นหญิงได้สองคน คนแรกถือหนังสือเดินทางเวียดนาม และอีกคนถือหนังสือเดินทางอินโดนีเซีย ก่อนจะควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยเพิ่มอีก 2 คนรวมเป็น 4 คน
คนแรกเป็นสาวเวียดนามโดยกำเนิดวัย 28 ปี  ปัจจุบันครอบครัวของเธอก็ยังอยู่ที่เวียดนามและมีอาชีพทำนา    คนที่รู้จักเธอดีเปิดเผยว่าเธอเป็นสาวหน้าตาดี แต่งตัวเก่ง และชอบทำสีผม ชื่อจริงของเธอคือ ด่วน ธิ ฮวง คนในครอบครัวยืนยันว่าเธอเป็นคนนิสัยดี ขยันขันแข็ง   แต่เป็นคนกลัวแม้แต่หนู และคางคก  เพราะจึงไม่อยากจะเชื่อว่าเธอเข้ามาเกี่ยวพันกับคดีฆาตกรรมนี้ได้ 
ด่วน ธิ ฮวง จบการศึกษาระดับมัธยมปลาย เป็นลูกคนสุดท้องในบรรดาพี่น้อง 5 คน จากนั้นก็เดินทางไปทำมาหากินอยู่ที่กรุงฮานอย และกลับมาบ้านช่วงตรุษจีนทุกปี และทุกครั้งที่กลับบ้าน ก็จะพาแฟนหนุ่มชาวต่างชาติกลับมาด้วยแบบไม่ซ้ำหน้ากัน 
ล่าสุดเธอพบรักกับชายคนหนึ่งที่มาเลเซีย และพาเขามาที่เวียดนาม และไปเที่ยวเกาหลีใต้ด้วยกัน  สื่อมาเลเซียรายงานว่าเธอทำงานในสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง
ผู้ต้องสงสัยอีกคนเป็นหญิงสาวชาวอินโดนีเซียซิตี ไอซะห์ วัย 25 ปี มาจากครอบครัวยากจน เคยแต่งงานและมีลูกชายก่อนหย่าร้างกับสามี    มีรายงานว่าเธอทำงานที่สปานวดแห่งหนึ่ง 
สื่อมาเลเซียรายงานว่าเธอให้การว่าอยากเป็นนักแสดง และได้รับจ้างเข้าร่วมรายการโทรทัศ์หลายครั้ง และเพิ่งกลับมาเยี่ยมบ้านเมื่อเดือนที่แล้ว เธออ้างว่าได้รับการทาบทามจากสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งให้เดินทางไปเกาหลีเหนือในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ มีนาคม
เธอปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าเธอมีส่วนร่วมในการสังหารนายคิม จอง นัม  และอ้างว่าเธอถูกหลอกให้เข้าใจว่าการเอาสารบางอย่างละเลงบนหน้าของเหยื่อรายนี้เป็นส่วนหนึ่งของการแสดงสำหรับรายการโชว์ทางทีวี แต่ตำรวจมาเลเซียสวนกลับทันทีว่าทั้งสองคนเป็นส่วนหนึ่งของแผนการสังหารนายคิม จอง นัม อย่างแน่นอน  และมีหลักฐานว่าทั้งสองคนได้มีการซักซ้อมการใช้สารพิษในปฏิบัติการดังกล่าวในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง
อีกคนหนึ่งที่ถูกจับ เป็นชาวเกาหลีเหนือวัย 46 ปี ชื่อรี จอง โชล  และทำงานอยู่ในแวดวงไอทีในกรุงกัวลา ลัมเปอร์ ขณะที่ตำรวจกำลังตามหาตัวชาวเกาหลีเหนืออีก 4 คน ที่เชื่อว่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ แต่ได้ทั้งหมดได้หลบหนีกลับไปเกาหลีเหนือผ่านหลากหลายเส้นทาง ทั้งอินโดนีเซีย ดูไบ และรัสเซีย
ยิ่งไปกว่านั้นทางการมาเลเซียยังขอความร่วมมือจากสถานทูตเกาหลีเหนือในกัวลา ลัมเปอร์เพื่อสอบปากคำเจ้าหน้าที่สถานทูตคนหนึ่ง และเจ้าหน้าที่อีกคนของสายการบินเกาหลีเหนือที่เชื่อว่าอาจมีข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ล่าสุดตำรวจมาเลเซียเปิดเผยพบสารพิษทำลายระบบประสาท VX ที่ใบหน้าและดวงตาของนายคิม จองนัม พี่ชายต่างมารดาของผู้นำเกาหลีเหนือ โดยผลการวิเคราะห์โดยแผนกเคมีของศูนย์วิเคราะห์อาวุธเคมีของมาเลเซียระบุว่าสารพิษที่พบคือ เอทิล เอส-ทู-ไดไอโซโพรพิล อะมิโนเอทิล เมทิลฟอสโฟโนไทโอเลต (Ethyl S-2-Diisopropylaminoethyl Methylphosphonothiolate) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า VX ซึ่งเป็นสารพิษทำลายระบบประสาทที่ร้ายแรงที่สุด และถูกใช้ในการทำอาวุธเคมี โดยมันมีทั้งในรูปที่เป็นของเหลวและแก๊ส
หน่วยข่าวของเกาหลีใต้เชื่อมั่นว่าทั้งรูปแบบของการฆาตกรรมและหลักฐานที่ค้นพบบ่งชี้อย่างไม่มีข้อสงสัยว่าเกาหลีเหนือเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการสังหารนายคิ จอง นัม อย่างแน่นอน
จนถึงวันนี้รัฐบาลเกาหลีเหนือยังไม่ยอมรับอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำว่าเหยื่อของการสังหารที่เกิดขึ้นในสนามบินนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ คือนายคิม จอง นัม แถมยังกล่าวหารัฐบาลมาเลเซียว่าสมรู้ร่วมคิดกับเกาหลีใต้เพื่อให้ร้ายเกาหลีเหนือ และปฏิเสธคำขอของมาเลเซียที่ต้องการให้ส่งตัวอย่าง DNA ของสมาชิกครอบครัวคิมเพื่อใช้ในการชันสูตรศพ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้กลายเป็นกรณีพิพาทระหว่างเกาหลีเหนือกับมาเลเซีย   เกาหลีเหนือ เรียกร้องให้ทางการมาเลเซียมอบศพของนายคิม ให้กับเจ้าหน้าที่สถานทูตเกาหลีเหนือในกรุงกัวลา ลัมเปอร์โดยเร็ว  และแสดงท่าทีคัดค้านการชันสูตรศพนายคิม
แต่มาเลเซียยืนยันที่จะเดินหน้าชันสูตรศพตามระเบียบ และถึงขั้นต้องเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยที่โรงพยาบาลที่ใช้เก็บศพของนายคิม หลังมีกระแสข่าวว่ามีคนพยายามลักลอบเข้าไปในห้องเก็บศพ
ในฐานะเจ้าของบ้านซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุซึ่งเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก   มาเลเซียจำเป็นต้องสร้างความกระจ่างให้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  แต่ถ้าดูจากพฤติกรรมของเกาหลีในอดีต ก็คงชัดเจนว่ามาเลเซียคงไม่ได้รับความร่วมมือในการสอบสวนคดีฆาตกรรมนี้อย่างแน่นอน
สิ่งเดียวที่มาเลเซียทำได้ในเชิงการทูตเพื่อแสดงความไม่พอใจ คือการเรียกทูตมาเลเซียประจำกรุงเปียงยางกลับชั่วคราว และเรียกทูตเกาหลีเหนือประจำกรุงกัวลา ลัมเปอร์มาประท้วง
เหตุผลที่ทำให้รัฐบาลเกาหลีเหนือต้องกำจัดนายคิม จอง นัม กำลังเป็นประเด็นของการวิเคราะห์อย่างกว้างขวาง
หนึ่งในทฤษฎีคือเขาถูกหมายหัวมาตั้งแต่ออกมาวิจารณ์ระบบการสืบทอดอำนาจทางสายเลือดในปี 2554 หลังการถึงแก่อสัญกรรมของบิดาและประธานาธิบดี คิม จอง อิล นายคิม จอง นัม ยังเรียกร้องในสิ่งที่ไม่ใครในเกาหลีเหนือกล้าเอ่ยปากพูดถึง  นั่นคือการปฏิรูปและการเปิดประเทศให้มีเสรีภาพ
อีกหนึ่งความเป็นไปได้คือ คิม จองอุน ผู้นำเกาหลีเหนือคนปัจจุบัน ซึ่งเป็นน้องชายต่างมารดาของคิม จอง นัม เกิดความหวาดวิตกขึ้นมาว่าพี่ชายที่ถูกเนรเทศไปอยู่ในต่างประเทศ อาจจะกำลังวางแผนโค่นอำนาจเขา 
อีกทฤษฎีคือ ผู้นำเกาหลีเหนืออาจะตัดสินใจสั่งสังหารพี่ชายเพราะนายคิม จองนัม พร้อมจะแปรพักตร์ เพื่อไปสวามิภักดิ์กับตะวันตกหรือจีน จนกลายเป็นภัยคุกคามรัฐบาลเกาหลีเหนือ
แต่ก็มีทฤษฎีที่บอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับทางการเกาหลีเหนือ  แต่อาจจะเป็นเรื่องการที่นายคิมเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทาในภูมิภาคก็เป็นได้ เพราะในระหว่างที่อยู่ในต่างแดน นายคิมเดินทางไปตามประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอยู่บ่อยครั้ง
คิม จอง นัม เป็นบุตรนอกสมรสของนายคิม จอง อิล กับนาง ซุง แฮ ริม นักแสดงที่เกิดในเกาหลีใต้ มีช่วงเวลาหนึ่งที่ถูกมองว่าได้รับการวางตัวให้เป็นทายาททางการเมืองของนายคิม จอง อิล
แต่โอกาสของ คิม จอง นัม  ต้องดับวูบลงในปี 2554 เมื่อเขาสร้างความอับอายขายหน้าให้กับตระกูลคิม  ด้วยการพยายามแอบเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นด้วยการใช้หนังสือเดินทางปลอม คิม จอง นัม อ้างว่าเขาเพียงต้องการไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์ในกรุงโตเกียว
หลังจากนั้น คิม จอง นัม ก็ใช้ชีวิตในต่างแดนตลอด ส่วนใหญ่ก็วนเวียนอยู่บนเกาะมาเก๊าและเดินทางไปๆมาๆ  ระหว่างอินโดนีเซีย สิงคโปร์ มาเลเซีย และฝรั่งเศส ในปี 2555 มีรายงานว่าเขามีปัญหาทางด้านการเงิน เพราะถูกตัดออกจากกองมรดก จนมีรายงานว่าเขาถูกโรงแรมหรูที่มาเก๊าขับออกมา เพราะติดค่าห้องกับทางโรงแรมมากกว่า 15,000 ดอลล่าร์
นายคิม จอง นัม มีความใกล้ชิดกับล

logoline