นาทีนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่า พื้นที่ป่าในจังหวัดน่าน ที่เป็นป่าต้นน้ำ แหล่งน้ำต้นทุนของแม่เจ้าพระยา กำลังตกอยู่ในภาพวิกฤติ ที่ผ่านมาหลายหน่วยงาน ทั้งรัฐบาล ภาคเอกชน พยายามพลิกฟื้นคืนผืนป่าน่าน ที่หายไปให้กลับมาอยู่ในสภาพดิม แต่ดูเหมือนว่าการทำงานยังเต็มไปด้วยอุปสรรค ทั้งข้อจำกัดของกฎหมาย และทางเลือกอาชีพของชาวบ้าน ที่ยังยึดติดกับการปลูกพืชเชิงเดี่ยว
ทางจังหวัดน่านจึงได้เสนอโมเดลแก้ไขปัญหาน่านรูปแบบใหม่ ภายใต้แผนพัฒนาสิทธิที่ดินทำกินเพื่อการฟื้นฟูป่าจังหวัดน่านระยะ 5 ปี ตั้งแต่ปี 2559 ถึง 2563 งบประมาณกว่า 5 พันล้านบาท ให้รัฐบาลพิจารณา เพื่อหยุดยั้งการสูญเสียพื้นที่ป่า รวมทั้งฟื้นฟูและเพิ่มพื้นที่ป่าในจังหวัดน่าน
การแก้วิกฤตป่าน่านครั้งนี้ อยู่ภายใต้ความเชื่อที่ว่า ถ้าเกษตรกรในพื้นที่มีสิทธิทำกินอย่างถูกกฎหมาย เกษตรกรจะมีส่วนเข้าร่วมในการอนุรักพื้นที่ป่า เหมือนวิถีชีวิตในอดีต
การให้ชาวบ้านเช่าสิทธิที่ดินทำกิน ควบคู่กับการจ้างปลูกป่า 1 ล้าน 2 แสนไร่ /ไร่ละ 3,900 บาทในปีแรก และค่าดูแลรักษาไร่ละ 1,020 บาทในปีที่ 2 ถึงปีที่ 4 เพื่อยกระดับรายได้ จึงกลายเป็นข้อเสนอสำคัญ ที่จังหวัดน่านและกระทรวงมหาดไทยเสนอให้รัฐบาลพิจารณา
ตามโมเดลใหม่นี้ กำหนดเงื่อนไขการเช่าสิทธิที่ดินทำกินเพื่อการฟื้นฟูป่าจังหวัดน่าน บนพื้นฐานการพัฒนาพื้นที่ความเหมาะสม และสอดคล้องกับการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำน่าน โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 รูปแบบ คือ
พื้นที่ระดับ 1 เป็นพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1เอ และลุ่มน้ำชั้น 1 บี กำหนดเงื่อนไข ให้เกษตรกรเช่าในราคาไร่ละ 1 บาท ถึง 1000 บาทต่อปี โดยมีเงื่อนไขให้เกษตรกรต้องปลูกป่าร้อยละ 60-90 มีสิทธิเก็บของป่า ผู้เช่ามีสิทธิเก็บกินและใช้ประโยชน์จากป่า และปลูกพืชในพื้นที่ส่วนที่เหลือจากที่กำหนดให้ปลูกป่าได้ แต่ห้ามตัดต้นไม้ในพื้นที่ป่า
พื้นที่ระดับ 2 เป็นพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 2 ชั้น 3 ค่าเช่าไร่ละ 1 บาท ถึง 1,000 บาท เท่ากับพื้นที่ระดับ 1 โดยผเกษตรกรที่เช่าที่ดินต้องปลูกป่า 60% ของพื้นที่ที่ได้รับสิทธิให้เช่าภายใน 5 ปี มีสิทธิเก็บกินและใช้ประโยชน์จากป่า สามารถปลูกป่าเศรษฐกิจ ไม้ผลยืนต้น หรือพืชชนิดอื่น ผสมผสานร้อยละ 20 ของพื้นที่ที่ได้รับสิทธิการเช่า ภายใน 5 ปี สามารถตัดไม้ได้ตามพื้นที่และสัดส่วนที่กำหนด แต่ต้องปลูกทดแทน
พื้นที่ระดับ 3 เป็นพื้นที่ลุ่มน้ำ ชั้น 4 ชั้น 5 ค่าเช่าในราคาไร่ละ 1 บาท ถึง 3,000 บาทต่อปี ส่วนเงื่อนไขกำหนดให้ผู้เช่าต้องปลูกป่าร้อยละ 10 ของพื้นที่ภายใน 5 ปี สามารถปลูกพืชและไม้ยืนต้นผสมผสาน มีสิทธิเก็บกินและใช้ประโยชน์จากพื้นที่ที่ได้รับสิทธิเช่า ตัดไม้ได้ตามพื้นที่และสัดส่วนที่กำหนดเช่นเดียวกับพื้นที่ระดับ 2
แต่ที่ต่างกันคือพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 5 สามารถตั้งโรงงานแปรรูปสินค้า เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มได้ แต่ต้องไม่เกิน 10% ของพื้นที่
ส่วนกระบวนการคัดเลือกเกษตรกรที่จะเข้ามาทำสัญญาเช่าพื้นที่จากรัฐ คนที่จะได้รับสิทธิ มีภูมิลำเนาหรือที่อยู่อาศัยในพื้นที่ที่จะขอเช่าก่อน 31 ธันวาคม 2556 ผ่านการรับรองโดยชุมชนก่อน หน่วยงานราชการ ภาคประชาสังคมในชุมชน และยินยอมแสดงพื้นที่ครอบครองทั้งหมด
ตามเงื่อนไขกำหนดให้ผู้เช่ามีสิทธิเช่าพื้นที่ 30 ปี ต้องปลูกป่าและอนุรักษ์ป่าตามเงื่อนไขการฟื้นฟูป่าในระดับพื้นที่อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งจะต้องสอดส่องดูแลและแจ้งเหตุแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐเมื่อพบภัยพิบัติทางธรรมชาติ การบุกรุกหรือการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ หรือทรัพย์สินของทางราชการในพื้นที่ที่ได้รับสิทธิรวมถึงพื้นที่ใกล้เคียง
สิทธิการเช่าต้องดำเนินการด้วยตัวเอง แต่สามารถตกทอดเป็นมรดกให้ลูกหลานที่เป็นทายาทโดยธรรมตามกฎหมาย แต่ห้ามไม่ให้แบ่ง ขาย หรือโอนสิทธิการเช่าให้คนอื่นเช่าช่วงโดยเด็ดขาดไม่ว่าจะมีค่าตอบแทนหรือไม่ก็ตาม
ในกรณีผู้เช่าขยายเขตพื้นที่ออกนอกบริเวณแปลงที่ดินของตัวเอง หรือไม่ทำตามเงื่อนไข การฟื้นฟูป่า จะถูกยกเลิกสัญญาเช่า และมีความผิดตามกฎหมาย