ในบรรดานายทหาร คสช. ที่เข้ามาเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ดูจะเป็นคนที่มีบทบาทโดดเด่นและถูกจับตามองมากเป็นพิเศษ คดีสำคัญ ๆ และเรื่องที่ถูกมองว่าต้องใช้แรงปะทะหรือความเด็ดขาดในการจัดการ ถูกโยนมาบนหน้าตักของอดีตนายทหารที่มีบทบาทสำคัญในการยึดอำนาจของ คสช. ในปี 2557 ผู้นี้ตลอดเวลา
ถึงแม้พล.อ.ไพบูลย์ จะพลาดตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก แต่การได้รับตำแหน่งรัฐมนตรียุติธรรม ที่มีขอบข่ายอำนาจมหาศาล ก็น่าจะเป็นเครื่องบ่งชี้ได้ดีว่า ได้รับความไว้วางใจจาก พล.อ.ประยุทธ์ หัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรีแค่ไหน
บทบาทที่สำคัญที่สุดของ พล.อ. ไพบูลย์ขณะนี้คืองานด้านกฎหมาย ซึ่งเป็นหัวใจของการปฏิรูปประเทศ และดูเหมือนเสียงของ พล.อ.ไพบูลย์ในด้านนี้เป็นเสียงที่นายกรัฐมนตรีฟังมากที่สุด
พล.อ. ประยุทธ์ได้ประกาศให้การปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่นเป็นภารกิจสำคัญของรัฐบาล และคนที่พล.อ. ประยุทธ์ไว้ใจมากที่สุดสำหรับภารกิจนี้ก็คือ พล.อ. ไพบูลย์และในฐานะประธานศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ พล.อ. ไพบูลย์ ก็ไม่ทำให้ พล.อ. ประยุทธ์ผิดหวัง โดยเฉพาะการจัดการกับข้าราชการหลายร้อยจำแหน่งที่พัวพันข้อหาการทุจริต
การกวาดล้างขบวนการค้ายาเสพติดที่ใช้เรือนจำและคุกเป็นสถานที่สั่งซื้อขายยาเสพติดเป็นผลงานที่เข้าตามรัฐบาลมากที่สุดงานหนึ่ง แต่งานที่พิสูจน์ความจริงจังของ พล.อ.ไพบูลย์ในการจัดการกับการทุจริตมากที่สุดงานหนึ่งคือการตรวจสอบเรื่องอื้อฉาวของโครงการอุทยานราชภักดิ์ ที่มีนายทหารชั้นผู้ใหญ่เข้าไปเกี่ยวพัน และการตรวจสอบกรณี สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (สมเด็จช่วง) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ครอบครองรถโบราณจากบริษัทนำเข้ารถหรูแบบผิดกฎหมาย จนทำให้การแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20 ต้องหยุดชะงัก
แน่นอนว่าคดีที่ทำให้ พล.อ. ไพบูลย์ตกเป็นข่าวอย่างต่อเนื่องมากที่สุดในขณะนี้ก็คือ คดีการฉ้อโกงเงินในสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด และสั่งจ่ายเพื่อบริจาคเงินกว่า 1,200 ล้านบาท ให้กับวัดพระธรรมกาย จนเกิดคดีความฟ้องร้องขึ้น และนำไปสู่การออกหมายจับ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
พล.อ.ไพบูลย์ ถือเป็นนายทหารสายวงศ์เทวัญ ที่มีความชัดเจนในเรื่องความเด็ดขาด ซึ่งอาจตรงข้ามกับบุคลิกที่ปรากฎ ที่เต็มไปด้วยความสุขุม และรอบคอบ
พล.อ.ไพบูลย์ บอกกับ PRIMETIME ในการสัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่า ต้องการทำให้กระทรวงยุติธรรมเป็นที่พึ่งให้กับประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งหมายความว่าทุกหน่วยงานของกระทรวงนี้ต้องทำงานอย่างตรงไปตรงมาและอย่างมีความรับผิดชอบ
พล.อ. ไพบูลย์ย้ำว่า การสร้างความยุติธรรมที่เท่าเทียมกันภายใต้กฎหมายเป็นทางเดียวที่จะทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบ แต่ พล.อ. ไพบูลย์ ไม่เคยปฏิเสธความจริงที่ว่าภายใต้การปกครองของ คสช. ประเทศไทยไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่ก็ยอมรับว่าอำนาจปัจจุบันจะอยู่ได้ก็ต่อเมื่อได้รับการยอมรับจากประชาชนเท่านั้น
คนใกล้ชิดนายกรัฐมนตรี บอกกับ PRIMETIME ว่า พล.อ.ประยุทธ์ มอง พล.อ.ไพบูลย์ว่ามีความรู้ความสามารถและความตั้งใจพอที่จะรับหน้าที่สานต่อการปฏิรูปประเทศหลังจาก คสช. สิ้นสภาพ
เพราะฉะนั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายถ้า พล.อ. ไพบูลย์จะมีบทบาทสำคัญในวุฒิสภาที่ คสช. จะเป็นคนสรรหาหลังการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นหลังกลางปีหน้า
ตามร่างรัฐธรรมนูญที่จะมีการลงประชามติวันที่ 7 สิงหาคมนี้ วุฒิสภาจะมีอำนาจในการตรวจสอบและคานอำนาจของฝ่ายบริหาร และร่วมกับ ส.ส. ในการเลือกนายกรัฐมนตรี และแน่นอนว่าคนที่จะมีบทบาทสำคัญที่สุดในวุฒิสภาก็คือประธานวุฒิสภา