รองปลัดกรุงเทพมหานคร คุณหมอ พิชญา นาควัชระ บอกว่า ทิศทางของประเทศไทยขณะนี้เปลี่ยนไป เพราะกำลังต้องการแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และรองรับสังคมผู้สูงอายุ
รองปลัด กทม. พูดเรื่องนี้ระหว่างร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ หรือ เอ็มโอยู ระหว่าง กทม.กับ อธิการบดีมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ บังอร เบญจาธิกุล เพื่อร่วมกันผลิตแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว และเพิ่มพูนทักษะทางวิชาชีพเพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยที่ก้าวเข้าสู่สงคมผู้สูงอายุ พร้อมพัฒนางานวิจัยและบริการทางการแพทย์เพื่อดูแลคุณภาพชีวิตของประชาชน และแก้ปัญหาความขาดแคลนแพทย์เพื่อรองรับการเจ็บป่วยของคนเมือง
โครงการนี้มี "โรงพยาบาลพี่เลี้ยง" ที่รับผิดชอบดำเนินการตามเอ็มโอยู คือ โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ / โรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินฺธโรอุทิศ ซึ่งการเจ็บป่วยของคนเมือง หรือ "โรคคนเมือง" ก็เป็นอีกหนึ่งโจทย์ยากในวงการแพทย์และสาธารณสุขของบ้านเรา
ขณะที่ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี บอกว่า ได้รับคำแนะนำมาจากคณะกรรมการแพทยศาสตร์ศึกษาแห่งชาติ ว่าต้องการให้การเรียนการสอนของนักศึกษาแพทย์ตอบโจทย์สังคมผู้สูงอายุ โดยเฉพาะการดูแลผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเรื้อรัง รวมถึงดูแลญาติที่ทำหน้าที่ดูแลผู้สูงอายุด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญจึงอยากให้พรรคการเมืองให้ความสำคัญ ออกกฎหมายสนับสนุนการทำงานของแพทย์ และให้แพทย์มีความสุขกับการทำงาน
คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ยังแนะนำทิ้งท้ายว่า อยากให้พรรคการเมืองทุกพรรคพัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับการดูแลกลุ่มผู้สูงอายุแบบเฉพาะกลุ่ม ทั้งการปรับแก้กฎหมาย , การใช้จ่ายงบประมาณ และการพัฒนาทางการแพทย์ ซึ่งทั้งหมดต้องสอดคล้องกันทั้งระบบ เพื่อดูแลคุณภาพชีวิตของกลุ่มผู้สูงอายุอย่างยั่งยืน
ที่ผ่านมาเท่าที่ติดตามดู หลายๆ พรรคการเมืองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องผู้สูงอายุ ทั้งพรรคเพื่อไทย ประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐ และพรรคประชาชาติ อย่างพรรคประชาชาติ ถึงขนาดประกาศเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุเป็น 3,000 บาทต่อเดือน มอบให้ทุกคนเหมือนเป็น "บำนาญ 3 พัน" กันเลย แต่ฝั่งแพทย์ ฝั่งบุคลากรทางสาธารณสุข อยากให้มีนโยบายที่ลึกและรอบด้านมากกว่าแค่เรื่องเงิน ก็ถือเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจ และพรรคการเมืองน่าจะนำไปกำหนดเป็นนโยบายต่อยอดเพื่อรับมือกับปัญหาในอนาคต