นิกกี้ เฮลีย์ ทูตสหรัฐประจำสหประชาชาติ เตือนรัฐบาลซีเรีย จากถ้อยแถลงล่าสุดว่า สหรัฐอาจโจมตีด้วยขีปนาวุธใส่ซีเรียอีกครั้ง หากรัฐบาลซีเรียยังไม่หยุดใช้อาวุธเคมีโจมตีใส่ประชาชน นอกจากนั้นสหรัฐยังอาจใช้มาตรการลงโทษชุดใหม่ต่อรัสเซียซึ่งสนับสนุนรัฐบาลซีเรีย โดยจะมีการประกาศมาตรการลงโทษชุดใหม่ในวันจันทร์ที่ 16 เมษายน ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐ โดยมาตรการลงโทษที่ว่านี้จะพุ่งเป้าไปที่บริษัทผู้จัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ ที่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธเคมีของซีเรีย
ขณะที่ ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ออกแถลงการณ์ผ่านเว็บไซต์ของรัฐบาลเคลมลิน ว่า การโจมตีซีเรียที่นำโดยสหรัฐ เป็นการรุกรานประเทศที่มีอธิปไตย และเปรียบเทียบว่าสหรัฐกำลังจะก่อสงครามนองเลือดซ้ำอีกครั้งในซีเรีย เหมือนที่เคยทำไว้ในอิรักและลิเบีย ทั้งยังเป็นการละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ และกฎหมายระหว่างประเทศ ตลอดจนส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของชาติต่างๆ ทั่วโลก พร้อมกับเรียกร้องให้มีการประชุมฉุกเฉินของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เพื่อหารือกรณีนี้เป็นการด่วน
ปัญหาการสู้รบในซีเรีย ต้องเรียกว่าเป็น "สงครามซ้อนสงคราม" เพราะมีความขัดแย้งและผู้เกี่ยวข้องซ้อนอยู่ 2 ชั้น
ชั้นแรก คือปัญหาความขัดแย้งดั้งเดิมระหว่างชาติต่างๆ ในตะวันออกกลางเอง ซึ่งเป็นเรื่องของ "นิกายทางศาสนาอิสลามที่แตกต่างกัน" โดยปีกหนึ่งเป็น "นิกายสุหนี่" นำโดยซาอุดิอาระเบีย และประเทศรอบๆ อ่าวเปอร์เซีย กับอีกปีกหนึ่งคือ "นิกายชีอะห์" นำโดยอิหร่าน และซีเรีย โดยมีอิรักเป็นจุดเผชิญหน้า
ชั้นที่สอง คือความขัดแย้งในแง่ผลประโยชน์ทางทรัพยากร เพราะเชื่อกันว่าซีเรียมมีแหล่งน้ำมันจำนวนมหาศาล และยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ของตะวันออกกลางที่ชาติมหาอำนาจต้องการยึดครอง ทำให้วิกฤตการณ์นี้กลายเป็นการเผชิญหน้าของมหาอำนาจโลกไปด้วย ฝ่ายหนึ่งคือ สหรัฐ ที่สนับสนุนปีกสุหนี่ซึ่งนำโดยซาอุดิอาระเบีย กับอีกฝ่ายคือ รัสเซีย ที่สนับสนุนซีเรีย รัฐบาลอัล อัซซาด และอิหร่าน
ความพยายามโค่นล้มรัฐบาลอัล อัซซาด มีมาอย่างต่อเนื่องหลายปี จนกลายเป็นการสู้รบกันอย่างยืดเยื้อยาวนานระหว่างกองกำลังของรัฐบาลกับฝ่ายต่อต้าน แต่ภายหลังกลับมี "กลุ่มไอเอส" เป็นตัวแปรใหม่เพิ่มขึ้นมา ทำให้ดินแดนแห่งนี้กลายเป็น "สงครามสามเส้า"
แม้ช่วงหนึ่งที่ "ไอเอส" ขยายอิทธิพลมากๆ ได้กลายเป็นแรงกดดันให้สหรัฐกับรัสเซียจับมือกันทำสงครามต่อต้านการก่อการร้าย โดยร่วมกันปราบปราม "กลุ่มไอเอส" จนเรียกได้ว่าพ่ายแพ้ทั้งในอิรักและซีเรีย แต่เมื่อปัญหาไอเอสเริ่มคลี่คลาย ความขัดแย้งเดิมๆ ก็กลับมาใหม่ โดยรัฐบาลซีเรียภายใต้การหนุนหลังของรัสเซีย ได้ระดมโจมตีกลุ่มต่อต้านอย่างหนัก กระทั่งสุดท้ายมีข่าวการใช้อาวุธเคมี ทำให้สุดท้ายสหรัฐกับชาติพันธมิตร คือ อังกฤษ และฝรั่งเศส ตัดสินใจโจมตีซีเรียด้วยขีปนาวุธ 105 ลูก เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงที่ "ล่าความจริง" ได้รับมา วิเคราะห์ว่า แนวโน้มของสถานการณ์นี้มองได้ 2 แง่มุม คือ
1.มีโอกาสที่การโจมตีของสหรัฐและพวกจะกลายเป็นชนวนให้สงครามในตะวันออกกลางขยายวง เพราะมีต่างประเทศที่มีพลังอำนาจทางทหารสูงมากเข้าโจมตีซีเรีย ส่วนกลุ่มที่หนุนหลังซีเรียอยู่ ก็มีทั้งอิหร่านและรัสเซีย จึงมีโอกาสขยายวงเป็นสงครามโลกได้เหมือนกัน
หรือ 2.อาจมีการเจรจากันอย่างลับๆ ระหว่างสหรัฐกับรัสเซียบ้างแล้ว เพราะจะเห็นได้ว่า รัสเซียไม่ได้ออกแอคชั่น หรือปฏิบัติการทางทหารอะไรมากมายนักหลังสหรัฐและชาติพันธมิตรยิงขีปนาวุธถล่มซีเรีย จึงมีความเป็นไปได้ว่าอาจมีการเจรจากันลับๆ เพื่อทำสงครามสั่งสอนซีเรียไม่ให้ใช้อาวุธเคมีอีก ประกอบกับซีเรียก็รู้ล่วงหน้าว่าจะมีการโจมตี จึงเตรียมการอพยพผู้คนออกไปก่อนทั้งหมดแล้ว ทำให้ความเสียหายจำกัดวง ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริง สถานการณ์ก็จะตึงเครียดไปแบบเดิม แต่ยังไม่มีดีกรีที่ร้อนแรงจนขยายไปสู่สงครามโลก
นี่คือการวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์ที่ "ล่าความจริง" นำมาเล่าให้ฟัง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญบอกว่าต้องจับตากันวันต่อวัน สัปดาห์ต่อสัปดาห์กันเลยทีเดียว เพราะสถานการณ์มีโอกาสพลิกผันได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะหากสหรัฐตัดสินใจโจมตีซีเรียซ้ำอีก