คนแรก คือ "ปิยะ ชื่นสกุล" ชื่อนี้ อาจจะไม่เป็นที่รู้จักมากนัก ในวงกว้าง เพราะสิ่งที่ผู้ชายในวัย 32 อย่างเขา ได้จากฟุตบอล ก็คือ "อาชีพนักเดาะฟุตบอล"
ปิยะ มีจุดเริ่มต้น จากการเป็นนักฟุตบอลของโรงเรียนวัดสุทธิวราราม กรุงเทพฯ
ปิยะ เล่นฟุตบอลให้ทีมโรงเรียน จนอายุ 18 ปี ก็อิ่มตัว ช่วงนั้นฟุตบอลอาชีพในไทย ยังไม่ได้เติบโตถึงขีดสุด เช่น ทุกวันนี้ และ ปิยะ ตัดสินใจ ที่จะแขวนสตัรค ในปี 2543-2544 หันมาเอาจริง เอาจัง กับการพัฒนาตัวเอง สู่การเป็นนักเดาะฟุตบอล
ด้วยการฝึกหนัก และเรียนรู้ด้วยตนเอง ทำให้ ปิยะ ก้าวไปถึง การเป็นรองแชมป์เดาะฟุตบอลนานาชาติ ในปี 2556 จากการจัดประกวดที่ประเทศญี่ปุ่น
ผมถามเขาว่า....ภูมิใจไหม ?? ที่ก้าวไปได้ถึง การเป็นรองแชมป์เดาะฟุตบอลระดับนานาชาติ สิ่งที่ได้เป็นคำตอบ ก็คือ เขา...อยากย้อนเวลาครับ ... เพื่อที่จะไปเอาจริง เอาจัง กับการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ
เพราะทุกวันนี้ รายได้ของนักฟุตบอลอาชีพ มันคือความหวังเหลือเกิน กับการที่จะสร้างฐานะให้กับครอบครัว ทุกวันนี้ "ปิยะ" รับงานโชว์เดาะฟุตบอลให้กับกรุ๊ปทัวร์ชาวต่างชาติ , การไปออกรายการทีวี, และล่าสุด คือ รับจ้างสอนทักษะการเดาะฟุตบอลให้กับผู้สนใจ อยู่ที่ใต้สะพานพระราม 8 ฝั่งจรัญสนิทวงศ์ และที่จ.พระนครศรีอยุธยา
สิ่งที่สอน แน่นอนว่า มันไม่สามารถที่จะยกระดับความสามารถของผู้เรียน ให้เกิดขึ้นได้แบบ ปิยะ แต่เป็นสิ่งที่ ปิยะ ให้คำจำกัดความว่า มันคือทักษะ ที่จะนำไปต่อยอดสู่การเป็นนักฟุตบอล
เมื่อพูดถึง "ปิยะ" ทำให้ผมคิดถึง นักเรียน ชั้น ม.2 โรงเรียนวัดหนองน้ำเขียว อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี ที่ชื่อ "โอ๊ต" จักรพันธ์ ชลศิริพงษ์ เด็กชายคนนี้ เป็นที่รู้จักก็เพราะ การสวมรองเท้านักเรียน เพื่อไปขอคัดตัวเป็นนักฟุตบอลเยาวชน ให้กับทีมฟุตบอล "บ้านบึง ยูไนเต็ด" ในเดือนมิถุนายน
โอ๊ต ไม่ผ่าน ครับ ด้วยฝีเท้าที่ยังไม่โดดเด่นพอ แต่การดิ้นรนที่จะสู้ แม้ว่าจะมีเพียงรองเท้าผ้าใบ นั่นก็ทำให้ "โอ๊ต" ได้รับโอกาส ให้เป็นนักฟุตบอลฝึกหัดของทีมเยาวชนบ้านบึงยูไนเต็ด มีรายได้ต่อเดือนๆ ละ 500 บาท ที่เป็นค่าเบี้ยเลี้ยงจากการมาฝึกซ้อมกับทีม เป็นแรงใจให้ลูกคนที่ 10 จากพี่น้องทั้งหมด 12 คน เดินหน้าต่อไปกับเส้นทางฟุตบอล ด้วยความหวังว่า จะทำให้ครอบครัวมีรายได้
นี่คือเส้นทางที่ ปิยะ และ โอ๊ต เลือกให้กับตัวเองครับ