พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในวันนี้ (29 ตุลาคม 2560) เวลา 10.30 น. พระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศล และอัญเชิญพระโกศพระบรมอัฐิขึ้นประดิษฐาน ณ พระวิมาน บนพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และเวลา 17.30 น. พระราชพิธีเชิญพระบรมราชสรีรางคาร ไปบรรจุ ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม และ วัดบวรนิเวศวิหาร
ซึ่ง พระบรมราชสรีรางคาง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จะถูกบรรจุที่ ฐานพุทธบัลลังก์ พระพุทธอังคีรส พระประธานในพระอุโบสถ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม และฐานพุทธบัลลังก์ พระพุทธชินสีห์ พระประธานพระอุโบสถ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร
พระพุทธอังคีรส พระประธานพระอุโบสถ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นวัดประจำรัชกาล เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๒ มีลักษณะผสมระหว่างสถาปัตยกรรมไทยกับสถาปัตยกรรมตะวันตก คือ ลักษณะภายนอกเป็นสถาปัตยกรรมไทย ส่วนภายในออกแบบตกแต่งอย่างตะวันตก
สิ่งก่อสร้าง พระอุโบสถ พระวิหาร พระจดีย์ ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบเบญจรงค์งดงามมาก มีมหาสีมารอบกำแพงวัด พร้อมทั้งโปรดให้สร้าง พระพุทธอังคีรส เป็นพระประธานภายในพระอุโบสถ
พระพุทธอังคีรส เป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชีหินอ่อน พระนาม "พระพุทธอังคีรส" แปลว่ามีรัศมีซ่านออกจากพระวรกาย หล่อขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ ต่อต้นรัชกาลที่ ๕ กะไหล่ทองคำเนื้อแปดหนัก ๑๘๐ บาท เป็นทองที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้เมื่อยังทรงพระเยาว์
ที่ฐานบัลลังก์กะไหล่ทองเนื้อหกหนัก ๔๘ บาท ภายในบรรจุพระบรมอัฐิ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒), พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔), พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) และพระบรมราชสรีรางคาร พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๗) และพระราชสรีรางคาร สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี
วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ไม่เพียงแต่จะเป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๕ แต่ยังเป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๗ อีกพระองค์หนึ่งด้วย
ส่วน พระบรมราชสรีรางคาร พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร (รัชกาลที่ ๘) บรรจุใต้ฐานพระศรีศากยมุนี วัดสุทัศนเทพวราราม
พระพุทธชินสีห์ พระประธานพระอุโบสถ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร
วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร หรือ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร พระอารามนี้เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชถึง ๔ พระองค์ และเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ทั้งยังเป็นวัดประจำ รัชกาลที่ ๖ (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) และ วัดประจำรัชกาลที่ ๙ (พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช)
ซึ่งเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๙ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระราชประสงค์ที่จะทรงผนวชในพระบวรพุทธศาสนา ตามโบราณราชประเพณี โดย พระองค์ทรงผนวช เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ ถึงวันที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๙ รวมเป็นเวลา ๑๕ วัน ขณะที่มีพระชนมายุ ๒๙ พรรษา
ระหว่างที่ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ได้เสด็จมาประทับ ณ "พระตำหนักปั้นหย่า" หรือ "พระตำหนักปั้นหยา" ที่ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร ซึ่งพระตำหนักปั้นหยา เป็นตึก ๓ ชั้น สถาปัตยกรรมเป็นแบบยุโรป เดิมเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งที่ทรงผนวช หลังจากนั้นที่นี่เป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ที่ทรงผนวชและเสด็จมาประทับที่วัดแห่งนี้
พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เผยว่า ระหว่างที่ ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ทรงดำรงสมณเพศพระภิกษุ พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกิจ เช่นเดียวกับพระภิกษุทั้งหลายอย่างเคร่งครัด เสด็จลงพระอุโบสถ ทรงทำวัตรเช้า-เย็น ตลอดจนทรงสดับพระธรรมและพระวินัย เสด็จออกรับบิณฑบาตเหมือนพระภิกษุทั่วไป ที่สำคัญพระองค์ไม่สวมฉลองพระบาทตลอด 15 วันที่ทรงผนวช แม้ว่าหนทางนั้นจะลำบากเพียงใดก็ตาม สมกับเป็นพระราชาผู้ทรงธรรมโดยแท้
โดยวันที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ ๒๔๙๙ วันลาสิกขา ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ยังทรงปลูกต้นสักไว้ที่ด้านหลังพระตำหนักปั้นหยา และในวันที่ ๒๖ กรกฏาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ พระองค์ทรงเสด็จมาปลูกต้นจัน ปัจจุบันนี้ต้นไม้ที่พระองค์ทรงปลูกได้เจริญเติบโตสูงใหญ่ ให้ร่มเงาและความร่มรื่นแก่ผู้ที่ได้เดินทางมาวัดบวรนิเวศวิหาร
วัดบวรนิเวศวิหาร มีสถาปัตยกรรมแบบไทยผสมจีน ภายในพระอุโบสถมีพระพุทธรูปสำคัญอยู่ ๒ องค์เป็นพระประธาน คือ พระพุทธสุวรรณเขต (หลวงพ่อโต) ที่อัญเชิญมาจากวัดสระตะพาน จังหวัดเพชรบุรี และ พระพุทธชินสีห์
พระพุทธชินสีห์ เป็นพระประธานในพระอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปสำคัญพระองค์หนึ่งของหัวเมืองฝ่ายเหนือ สร้างขึ้นคราวเดียวกันกับพระพุทธชินราช พระศรีศาสดาและพระเหลือ เดิมประดิษฐานอยู่ในพระวิหารด้านเหนือของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก ต่อมาพระวิหารชำรุดทรุดโทรมลง ขาดการปฏิสังขรณ์ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ จึงโปรดให้อัญเชิญมาประดิษฐานที่วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อพ.ศ.๒๓๗๒
พระพุทธชินสีห์ ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าสร้างในสมัยใด คงมีแต่พงศาวดารเหนือ ซึ่งเป็นเอกสารที่เล่าถึงตำนานเมืองเหนือเรื่องต่างๆ สมัยกรุงศรีอยุธยา ถูกเรียบเรียงขึ้นใหม่โดยพระวิเชียรปรีชา (น้อย) ในปีพุทธศักราช ๒๓๕๐ ที่อ้างถึงกษัตริย์เชียงแสนพระนามพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกเป็นผู้สร้าง พร้อมกับการสร้างเมืองพิษณุโลกและพระพุทธรูปอีก ๒ องค์คือพระพุทธชินราชและพระศรีศาสดา
ใต้ฐานพุทธบัลลังก์ พระพุทธชินสีห์ เป็นที่บรรจุพระบรมราชสรีรางคาร พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) ผู้ทรงเคยผนวช ณ วัดนี้เมื่อยังทรงดำรงพระราชอิสริยยศที่ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราช และเป็นที่บรรจุ พระบรมราชสรีรางคาร ของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ ๙)
ทั้งนี้ ราชประเพณีบรรจุ พระบรมราชสรีรางคาร ที่วัดประจำรัชกาล เกิดขึ้นครั้งแรกในคราว พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๔
โดย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) โปรดเกล้าฯ ให้ยกเลิกธรรมเนียมการลอยพระบรมราชสรีรางคาร และทรงโปรดเกล้าฯ ให้บรรจุพระบรมราชสรีรางคาร ใต้พุทธบัลลังก์พระประธานในพระอุโบสถของพระอารามประจำรัชกาลแทน
ซึ่ง พระบรมราชสรีรางคารพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๑-๔ ตามราชประเพณีดั้งเดิมสมัยตอนต้นรัตนโกสินทร์ เมื่อเสร็จสิ้นพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ได้ทำการเชิญไปปล่อยยังท่าน้ำวัดปทุมคงคา หรือวัดยานนาวา
นับแต่นั้นมา พระราชพิธีบรรจุ พระบรมราชสรีรางคาร ที่วัดประจำรัชกาล ก็เป็นพระราชประเพณีปฏิบัติสืบมาจนถึงปัจจุบัน
อนึ่ง ขออธิบายความอย่างง่ายๆ ความหมายของ พระบรมอัฐิ กับ พระบรมราชสรีรางคาร
"อัฐิ" หมายถึง กระดูกคนที่เผาแล้ว ส่วน "สรีรางคาร" หรือ อังคาร หมายถึง เถ้าถ่านที่ปะปนกับกระดูกชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่เผาแล้ว
พระบรมอัฐิ ของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ประดิษฐาน ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
ส่วน พระบรมราชสรีรางคาร อัญเชิญบรรจุ ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม และวัดบวรนิเวศวิหาร