ร่าง พ.ร.บ. ทรัพยากรนํ้าฉบับใหม่ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของ สนช.มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเก็บภาษีเพิ่ม จากผู้ที่ใช้น้ำสาธารณะ ที่หมายถึง แม่น้ำ ลำคลอง บึง แหล่งน้ำใต้ดิน ทะเลสาบ และแหล่งน้ำตามธรรมชาติ ทั้งที่รัฐจัดสร้างขึ้น เพื่อให้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน สาเหตุที่ต้องมีการจัดเก็บภาษีแหล่งน้ำสาธารณะ ก็เพื่อความเท่ากันของคนในสังคม และปิดช่องโหว่ ในกฎหมายของกรมชลประทานและน้ำบาดาลที่ไม่สามารถครอบคลุมถึง เพราะปัจจุบัน ยังมีผู้ผลิตเกษตรเชิงพาณิชย์ ผู้ประกอบการรีสอร์ต รวมถึงภาคอุตสาหกรรม ที่สูบน้ำไปใช้ในกิจการอย่างเสรี ดังนั้นเพื่อความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายจึงมีการร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวขึ้นมาบังคับใช้
โดยอัตราการจัดเก็บภาษีการใช้น้ำสาธารณะแบ่งเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน คือ ใช้นํ้าเพื่อการดำรงชีพ ของประชาชนทั่วไป ไม่ต้องเสียค่าใช้นํ้า ,การใช้นํ้าเพื่อประกอบธุรกิจการเกษตร เลี้ยงสัตว์ เพื่อการพาณิชย์ เสียค่านํ้าอัตราลูกบาศก์เมตรละไม่เกิน 50 สตางค์ ส่วนการอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว การผลิตพลังงานไฟฟ้า การประปาหรือกิจการอื่น เก็บค่านํ้าในอัตราลูกบาศก์เมตรละ 1 - 3 บาท และ สำหรับกิจการขนาดใหญ่ อย่าง สนามกอล์ฟ , โรงไฟฟ้า , นิคมอุตสาหกรรม และธุรกิจขายนํ้าดิบเชิงพาณิชย์ ที่ใช้น้ำปริมาณมาก หรือ อาจก่อให้เกิดผลกระทบข้ามลุ่มน้ำ หรือครอบคลุมพื้นที่อย่างกว้างขวาง จะเก็บค่านํ้าอัตราลูกบาศก์เมตรละ 3 บาท และบังคับให้ขอใบอนุญาตจาก"อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ"โดยความเห็นชอบของ"กนช."