มีพระพุทธรูปปางค์หนึ่งที่ผสมผสานความรู้สึกนึกคิดของผู้คนในยุคต้นๆพุทธศตวรรษ ที่ต้องต่อสู้กับความเชื่อที่ปะปน ในพหุสังคม หรือศาสนาพราหมณ์ กับศาสนาพุทธ
เฟซบุ๊ค ของคุณ Jaruvat Chanposri เขียนระบุไว้เมื่อสองปีที่แล้ว แต่โพสต์นี้ กลับสะดุดตา และสะดุดกับความนึกคิดของผมเป็นอย่างมาก เขาเขียนว่า "หากใครมีโอกาสไปเชียงใหม่ลองแวะไปวัดศรีดอนมูล ที่นี่มีพระพุทธรูปปางหนึ่งเรียกว่า พระปรไมยไอศวร มีพุทธลักษณะเป็นพระพุทธรูปนั่งประทับเหนือศีรษะของพระพรหมหัวจุกหรือพระปรไมยไอยศวร หรือนัยหนึ่งก็คือพระอิศวรหรือพระศิวะนั่นเอง"
ตามตำนานกล่าวว่าพระอิศวรทรงเข้าใจว่าตนเองเป็นผู้สร้างโลกสร้างจักรวาล ความคิดนี้พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยอำนาจเจโตปริยญาณ
เหตุที่พระอิศวรหรือท้าวพกาพรหมนี่แหละหรือพระปรไมยไอยศวรมีหลายชื่อแต่ก็คืองค์เดียวกันสำคัญผิดว่าตนเป็นพระผู้สร้างเนื่องจากตนมีอายุยืนนาน นานมากจนเห็นการเกิดตายของสรรพสิ่งรวมทั้งจักรวาล
เหตุที่พระองค์มีอายุยาวนานเช่นนั้นเพราะสำเร็จสมาบัติสูงสุดเดิมเป็นอรูปพรหมผู้ไม่มีรูป เรียกกันว่าปรมาตมัน นานเท่านานจนฌานถอยลงมาสู่รูปฌานก็บังเกิดกายศิริโสภาสว่างไสวด้วยกำลังฌานเกิดขึ้น เมื่อคิดนึกสิ่งใดก็อุบัติสิ่งนั้นเป็นอัศจรรย์ด้วยกำลังจิตแห่งตน บางครั้งเล่าก็กลับเข้าอรูปฌานไปเป็นปรมาตมันใหม่วนเวียนเช่นนี้นานแสนนานจนเกิดทิฐิที่ผิดเข้าใจว่าตนมีก่อนจักรวาลและเป็นพระผู้สร้างทุกสิ่ง
เหตุนี้พระพุทธองค์จึงขจัดเสียซึ่งมิจฉาทิฐิโดยไปประลองฤทธิ์กับท้าวพกาพรหมหรือพระอิศวร
การประลองนั้นก็เล่นซ่อนหา ท้าวพกาซ่อนก่อนไปสุดขอบจักรวาลพระพุทธองค์ก็ทราบ ไปใต้บาดาลก็รู้ เรียกว่าจะซ่อนตัวจากพระพุทธองค์หาได้ไม่
พอคราวพระพุทธองค์ซ่อนพระวรกายบ้าง ท้าวพกากลับหาไม่เจอ ได้ยินแต่เสียงพระพุทธองค์แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ
สุดท้ายยอมแพ้เนรมิตบันไดทองพาดขึ้นพระพุทธองค์ก็ทรงเฉลยว่าไปหลบอยู่ในมวยมุ่นพระเกศาแห่งท้าวพกานั่นเอง
เรื่องนี้สำคัญมากเพราะเป็นการสะท้อนว่าการหาพุทธธรรมแท้มิได้ หาได้จากสุดขอบรอบจักรวาลแต่หาได้จากกายในกายจิตในจิตของเรานั่นเอง
ตำนานนี้ครูบาอาจารย์นำมาเป็นชัยชนะข้อที่ ๘ ในบทพาหุง และมีการสร้างพระพุทธปางพระเหนือพรหมในภาคกลางและพระปรไมยไอยศวรขึ้นอย่างที่เห็น