นายจักรพันธ์ คำนุชิต อายุ 33 ปี กล่าวว่า ตนเอง และครอบครัว ได้ทำประกันกับบริษัทดังกล่าว เมื่อปี 2558 โดยส่งเบี้ยประกันให้ตัวแทนเป็นผู้อำนวยการภาค ได้ตรวจสอบแล้วพิสูจน์ได้ว่าเป็นคนมีโปรไฟล์ดี ตำแหน่งในบริษัทอยู่ในระดับสูง มีหน้ามีตาในสังคม น่าเชื่อถือ จึงลงทุนทำประกันด้วย 19เล่ม มูลค่ากว่า 8ล้านบาท และมารู้ตัวว่า กรมธรรม์ไม่มีผล เมื่อเดือนธันวาคม 2559 จึงได้นำหลักฐานใบเสร็จของบริษัทประกันและหลักฐานอื่นๆเข้าแจ้งความไว้ที่ สถานีตำรวจภูธรเมืองระยอง พร้อมๆกับผู้ที่ตกที่นั่งเดียวกันอีก จำนวน 90 คน วงเงินรวม 145ล้านบาท ซึ่งเคยพากันเข้าร้องต่อ คปภ.แล้ว แต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะได้สิทธิทางกรมธรรม์คืนมาแต่อย่างใด
ซึ่งต่อมา ผู้เสียหายที่เข้าแจ้งความไว้ 56คน ได้ถูกบริษัทประกัน แจ้งความกลับเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2560 ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงบริษัท ทั้งๆที่เป็นผู้เสียหาย แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นผู้ต้องหาไปแล้ว จึงต้องมารวมตัวกัน เพื่อร้องเรียนผ่านสื่อให้เรื่องถึงหน่วยงานระดับสูง ให้ตรวจสอบเพื่อดำเนินการช่วยเหลือ และเตรียมร้องต่อ ดีเอสไอ ให้รับเรื่องนี้เข้าเป็นคดีพิเศษ ก่อนที่คดีจะหมดอายุความใน1ปี
เช่นเดียวกับ นางเพ็ญรตี โพธิ์คุณพงษ์ กล่าวว่า รู้จักกับผู้อำนวยการภาค มานานกว่า 15 ปี มีความสนิทสนม จึงไว้ใจทำประกันด้วย จ่ายไปแล้ว กว่า 1ล้านบาท ซึ่งมีความมั่นใจว่าจะไม่ถูกคดโกง เพราะทุกครั้งก็มีใบเสร็จรับเงินที่ออกจากบริษัท อย่างถูกต้อง มาให้ แต่อยู่ๆ กรมทัณฑ์ กลับเกิดปัญหาขึ้น ทั้งๆที่ มีใบเสร็จ ยืนยันว่า เราเป็นลูกค้าที่จ่ายเงินให้บริษัทประกันแล้วจริงๆ แต่กลับไม่มีผลใดๆ ซึ่งก็มีผู้เสียหายที่สูญเงินจ่ายเบี้ยประกันเหมือนกันไปหลายราย ที่สำคัญ เมื่อไปแจ้งความก็ถูกแจ้งกลับ ต้องตกเป็นผู้ต้องหาทั้งๆที่พวกเราคือผู้เสียหาย จึงเห็นว่า ไม่เป็นธรรม