โดยคำร้องฝากขัง ระบุพฤติการณ์สรุปว่า นางศิวัชญา พลอยงามกับพวกรวม 17 คนผู้เสียหายได้เข้าร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับนายภูดิศ ผู้ต้องหา ที่ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน , ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันฟอกเงิน ซึ่งการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานปรากฏข้อเท็จจริงว่า บจก.อินโนวิชั่นโฮลดิ้ง และบจก.เดอะซิสเต็ม ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ ได้ร่วมกันหลอกลวงผู้อื่น ด้วยการจัดสัมมนาแก่ประชาชนทั่วไปโดยใช้สถานที่โรงแรมชื่อดังย่านลาดพร้าว-รัชดาภิเษก และห้องสัมมนาของบริษัทฯ โดยนายภูดิศ ผู้ต้องหาจะขึ้นเวทีบรรยายพร้อมกับฉายสไลด์ประกอบเนื้อหาบรรยายที่จะกล่าวอ้างว่าบริษัททั้งสองดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการขายคอร์สสัมมนา สอนเกี่ยวกับการลงทุน แล้วชักชวนให้ผู้เข้าสัมมนาร่วมลงทุนกับบริษัท โดยอ้างว่าจะจ่ายเงินปันผลตอบแทนให้กับสมาชิกที่ร่วมลงทุนอัตรา 1 % ต่อวันจากราคาแพ็คเกจที่ซื้อ ซึ่งจะจ่ายเงินปันผลทุกสัปดาห์เป็นระยะเวลา 52 สัปดาห์ และหากผู้ใดสามารถชักชวนผู้อื่นมาซื้อแพ็คเกจด้วยบริษัทก็จะจ่ายผลตอบแทนเป็นค่าแนะนำในอัตรา 5 %ของยอดเงินที่ซื้อแพ็กเกจนอกเหนือจากเงินปันผลอีกนอกจากนี้ถ้าบอกให้คนที่มาซื้อแพ็คเกจชักชวนคนอื่นต่อไปเป็นทอดๆ คนที่ชักชวนก็จะได้ค่าตอบแทนเช่นเดียวกัน ทำให้ผู้เสียหายทั้ง 17 คนหลงเชื่อและพากันซื้อคอร์สสัมมนารวมเป็นเงิน 42,527,896 บาท โดยช่วงแรกบริษัทก็จ่ายเงินปันผลให้รวม 16,764,218 บาท แต่ภายหลังบริษัทเริ่มไม่จ่ายเงินปันผลกระทั่งไม่สามารถติดต่อกับบริษัทได้อีก ซึ่งยังเหลือเงินที่บริษัทค้างจ่ายผู้เสียหายอีกจำนวน 25,763,678 บาท
และจากการสืบสวนสอบสวนพบว่าบริษัททั้งสองปิดทำการไปแล้ว ขณะที่การสอบสวนเส้นทางการเงินพบว่าบริษัททั้งสองและนายภูดิศ ได้เปิดบัญชีเงินฝากไว้ที่ ธ.กสิกรไทยหลายบัญชีเพื่อการระดมเงิน โดยให้สมาชิกที่ซื้อแพ็คเกจโอนเงินเข้าบัญชี แล้วนำเงินของสมาชิกคนใหม่มาจ่ายให้สมาชิกคนเก่าในลักษณะหมุนเงิน ซึ่งตั้งแต่มีการเปิดบัญชี มีผู้หลงเชื่อจำนวนมากรวมทั้งกลุ่มผู้เสียหาย ได้โอนเงินบัญชีและทยอยถอนเงินออกจากบัญชีเงินฝาก 11 บัญชี รวมจำนวน 5,333,742,677.80 บาท ซึ่งเงินนั้นผู้ต้องหาได้มาและครอบครอง โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นเงินที่ได้มาจากการกระทำผิดกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน เหตุเกิดที่ บจก.อินโนวิชั่น โฮลดิ้ง และบจก. เดอะซิสเต็ม ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ อาคารฟอรั่ม ถ.รัชดาภิเษก แขวง-เขตห้วยขวาง กทม. กระทั่งเมื่อวันที่ 8 ส.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่จึงจับกุมผู้ต้องหาได้ โดยพนักงานสอบสวนสน.ห้วยขวาง ได้แจ้งข้อกล่าวหา ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.343 , พ.ร.ก.กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 ม.4,12 และพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (3),5(3),60,61 ชั้นจับกุมและสอบสวน นายภูดิศ ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
ทั้งนี้ศาลพิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้ฝากขังได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการฝากขังวันนี้ กลุ่มผู้เสียหายทั้งหญิง-ชายจากกรณีดังกล่าวเกือบ 20 คน ก็ได้เดินทางมาเพื่อรวมตัวกันคัดค้านการให้ประกันตัวผู้ต้องหาด้วย พร้อมนำหลักฐานและเอกสารการลงทุนซื้อคอร์สอบรมสัมมนา ยื่นประกอบการคัดค้าน
ขณะที่นายพัฒน์ขจร เนียมจันทร์ อายุ 54 ปี อดีตข้าราชการ หนึ่งในกลุ่มผู้เสียหาย เปิดเผยว่า นายภูดิศ เป็นเจ้าของบจก.อินโนเวชั้น โฮดิ้ง ซึ่งเกี่ยวกับการลงทุนทางธุรกิจการจัดคอร์สสัมมนา โดยเนื้อหาการบรรยายส่วนใหญ่จะจูงใจให้ผู้เข้าร่วมคอร์สสัมมนา นำเงินมาร่วมลงทุนทำธุรกิจกับบริษัท โดยจะจ่ายเงินให้ผู้ร่วมลงทุนทุกๆ 7 วัน ซึ่งมีผู้เสียหายถูกหลอกลวงเงินไปลงทุนหลายพันคน ตั้งแต่หลักพันบาทถึงหลักแสนบาท โดยที่พวกเราหลงเชื่อก็เพราะเห็นว่านายภูดิศ เปิดบริษัทของตัวเอง 8-9 แห่งก่อนถูกชักชวนให้ลงทุนแล้วยังนำรางวัลที่ได้รับจากหน่วยงานเอกชนและราชการมาอ้างยืนยันเพื่อให้มีความน่าเชื่อถือ ในช่วงแรกๆผู้ต้องหาสามารถจ่ายเงินปันผลให้กับสมาชิกได้จริงเป็นเวลานานเกือบ 1 ปี ก็ทำให้พวกตนหลงเชื่อว่าจะไม่น่าจะถูกหลอก แต่ภายหลังกลับไม่สามารถจ่ายเงินปันผลให้ได้เป็นเวลานานหลายเดือน เมื่อสอบถามก็บ่ายเบี่ยง กระทั่งผู้ต้องหาได้เดินทางไปต่างประเทศ แล้วเมื่อกลับมาก็ถูกตำรวจจับกุมดำเนินคดี ก่อนหน้านี้พวกตนเคยร้องทุกข์กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และกองปราบปรามไว้แล้ว โดยขณะนี้ทราบว่าผู้ต้องหาได้ถอนเงินจากบัญชีไปเกือบเกลี้ยงบัญชีแล้วแต่ก็ยังหวังว่าจะได้เงินคืนบ้าง