ล่าสุด นายมานิจ สุขสมจิตร นักหนังสือพิมพ์อาวุโส และประธานมูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย ได้แสดงความเห็นต่อประเด็นดังกล่าวในหัวข้อ..
"สื่อไม่ได้ถือว่ามีอภิสิทธ์หรือมีสถานภาพที่สูงกว่าอาชีพอื่น"
โดยระบุว่า ขอเรียนให้ประชาชนและ สปท.ได้ทราบด้วยว่าสื่อไม่ได้ถือว่ามีอภิสิทธิ์หรือมีสถานภาพที่สูงกว่าอาชีพอื่น
แต่สื่อมีอาชีพที่แตกต่างจากอาชีพอื่นตรงที่อาชีพสื่อที่มีเสรีภาพที่เป็นปัจจัยสำคัญของความเป็นประชาธิปไตยของแต่ละประเทศ คนทุกคนสามารถเข้ามาเป็นสื่อได้ถ้ามีความสามารถและมีจริยธรรมกำกับ
ฉะนั้นประเทศที่เจริญแล้วเขาจึงไม่ต้องตีตรา เพราะการตีตราหรือเพิกถอนจะต้องใช้อำนาจรัฐ ถ้ารัฐบาลไม่ชอบใครก็ให้งดใช้ใบอนุญาตประกอบอาชีพได้
"การให้ปลัดกระทรวงเข้ามาเป็นกรรมการนั้นทำราวกับว่าปลัดกระทรวงเป็นเทวดาสามารถแปลงกายไปประชุมที่นั่นที่นี่ได้สารพัดเพราะกรรมการเยอะจนจำไม่ได้
ผลสุดท้ายก็ส่งลูกน้องปลายแถวไปประชุมตามใบสั่งของนักการเมืองที่ตั้งปลัดกระทรวง ถามว่าปลัดกระทรวงแต่ละแห่งนั้นว่างงานมากนักหรือ
อีกประการหนึ่งการให้เสรีภาพสื่อก็เพื่อจะได้แสวงหาข้อมูลข่าวสารที่รอบด้าน ไม่ใช่ฟังจากรัฐบาลเท่านั้น
เมื่อมีข้อมูลมากประชาชนก็ใช้ข้อมูลที่มากนั้นมาประกอบการตัดสินใจได้ถูกต้องมากกว่ามีข้อมูลด้านเดียว
พล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร ประธานกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชน สปท. ให้สัมภาษณ์ว่าที่ควบคุมสื่อก็เพื่อไม่ให้วิพากษ์วิจารณ์จนรัฐขาดเสถียรภาพ
คำถามมีว่าถ้าเป็นรัฐบาลทรราชแล้วเราจะปล่อยเอาไว้เคารพบูชากราบไหว้เพื่อให้มีเสถียรภาพจนตายอย่างนั้นหรือ
ขอโทษที่เขียนยาว ยังมีอีก วันนี้เอาแค่นี้ก็รบกวนคนอ่านมากแล้วครับ ขอแถมอีกนิดครับ
นักการเมืองแยกไม่ออกระหว่างข่าวกับความเห็นแล้วมาโจมตีว่าเขียนข่าวโดยไม่มีความรับผิดชอบ ซึ่งมันคนละเรื่องครับ" นายมานิจ ย้ำ!