"ผู้ขับขี่ต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยไว้กับที่นั่งในขณะขับขี่รถยนต์ และต้องจัดให้คนโดยสารรถยนต์รัดร่างกายไว้กับที่นั่งด้วยเข็มขัดนิรภัยขณะโดยสารรถยนต์ และคนโดยสารรถยนต์ดังกล่าวต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยไว้กับที่นั่งในขณะโดยสารรถยนต์ด้วย"
2.พระราชบัญญัติ รถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา 21 ระบุว่า
มาตรา 21 ห้ามมิให้ผู้ใดใช้รถไม่ตรงตามประเภทที่จดทะเบียนไว้ เว้นแต่กรณี ดังต่อไปนี้
(1) การใช้รถยนต์บริการธุรกิจหรือรถยนต์บริการทัศนาจรในกิจการส่วนตัว(2) การใช้รถยนต์สาธารณะในกิจการส่วนตัว โดยมีข้อความแสดงไว้ที่รถนั้น ให้เห็นได้ง่ายจากภายนอกว่าใช้ในกิจการส่วนตัว(3) การใช้รถยนต์สาธารณะบรรทุกของที่ติดตัวไปกับผู้โดยสาร*(3 ทวิ) การใช้รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลที่มีน้ำหนักรถไม่เกินหนึ่งพันหกร้อยกิโลกรัม เป็นรถยนตร์นั่งส่วนบุคคลเกินเจ็ดคน หรือใช้รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเป็นรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล(4) ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง
ซึ่งทั้ง คำสั่งคสช. ที่ 14/2560 ตามมาตรา 44 และ พ.ร.บ.จราจร ปี 2522 มาตรา 21 เป็นประเด็นร้อนแรงทางสังคมขณะนี้! หลังสำนักงานตำรวจตำรวจ และ กรมขนส่งทางบก ขานรับมาตรการของ คสช. ที่จะเริ่มดำเนินการ จับปรับอย่างเข้มข้นในวันนี้ (5 เม.ย.) เพื่อหวังจะลดอุบัติเหตุให้เป็นศูนย์ในช่วงเทศกาลสงกรานต์
-กรณี ไม่รัดเข็มขัด ผิดตามคำสั่ง คสช.ที่ 14/2560 ตามข้อ 2-กรณี นั่งท้ายกระบะ และนั่งแคป ผิดตาม พ.ร.บ.รถยนต์ปี 2555 มาตรา 22
ด้าน อธิบดีกรมการขนส่งทางบก สนิท พรหมวงษ์ บอกว่า จำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายเข้มงวดอย่างจริงจัง และจับ ปรับ รถยนต์สาธารณะส่วนบุคคลที่ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย และใช้งานรถผิดประเภท (นั่งกระบะหลัง แคป) เพราะกฎหมายนี้เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนน ตั้งเป้าไว้ว่าการเกิดอุบัติเหตุต้องเป็นศูนย์
ขณะที่ พล.ต.ท.วิทยา ประยงค์พันธุ์ ผู้ช่วยผบ.ตร. บอกว่า ได้มอบแนวทางการปฏิบัติแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศ โดยให้บังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด! ทั้งกับรถขนส่งสาธารณะ รถโดยสารและรถยนต์ทุกประเภทที่ฝ่าฝืนไม่รัดเข็มขัดนิรภัย รวมถึง นั่งท้ายกระบะ และนั่งในส่วนที่เป็นแคป
ผู้ช่วย ผบ.ตร. บอกอีกว่า การจับปรับรถกระบะที่บรรทุกคนโดยสารในแคป เจ้าหน้าที่ไม่ได้จับปรับในข้อหาไม่รัดเข็มขัดนิรภัย แต่ปรับในข้อหา ใช้รถยนต์ผิดประเภท ซึ่งถือว่าผิดตาม พ.ร.บ.รถยนต์ 2522 มาตรา 21 ห้ามมิให้ผู้ใดใช้รถไม่ตรงตามประเภทที่จดทะเบียนไว้ ฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท นอกจากนี้กรณีที่ให้ผู้โดยสารนั่งข้างหลังกระบะ ก็ถือว่าผิดเช่นกัน
"ผู้ที่มีรถกระบะ ถ้าต้องการบรรทุกผู้โดยสารต้องนำรถไปต่อเติมหลังคาและติดตั้งที่นั่ง 2 แถว และนำรถไปจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกเป็นรถโดยสารสาธารณะ 7 ที่นั่งขึ้นไป แต่ไม่เกิน 12 ที่นั่ง จึงถือว่าไม่ผิดกฎหมาย สำหรับรถยนต์กระบะ 4 ประตู สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ปกติ แต่ต้องรัดเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง เพราะรถกระบะ 4 ประตู จดทะเบียนเป็นรถยนต์ส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง ที่ผ่านมาประชาชนใช้รถผิดประเภทมาโดยตลอด"
พล.ต.ท.วิทยา บอกว่า ห้ามรถกระบะมีแคปบรรทุกคนโดยเด็ดขาด หากพบเห็นจะดำเนินการปรับทันที เพราะวัตถุประสงค์ของแคปคือ มีไว้เพื่อตั้งวางสิ่งของเท่านั้น ที่ผ่านมากลับมีการใช้บรรทุกคนจนเคยชิน ซึ่งแคปนั้นไม่มีอุปกรณ์สำหรับความปลอดภัยของผู้ที่นั่งอยู่ในแคป และไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้คนนั่ง
ต่อประเด็นนี้ กระแสสังคม และกระแสโลกออนไลน์ ต่างวิพากษ์วิจารณ์ คำสั่ง และกฏ ดังกล่าว ไปต่างๆ นานา ส่วนใหญ่เป็นไปในแง่ลบ พร้อมวิงวอน ร้องขอ ให้มีการ ผ่อนผัน ผ่อนปรน ต่อมาตรการดังกล่าว โดยเฉพาะประเด็น การนั่งท้ายกระบะ และนั่งแคป
เพราะช่วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ พี่น้องประชาชน ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ รถยนต์กระบะ เตรียมตัวจะขนญาติพี่น้องร่วมเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้าน หรือไปเที่ยว ต่างจังหวัด เมื่อเจอคำสั่งและมาตรการดังกล่าว
ประชาชน จึงเหมือนกับ ช็อคซีนีม่า ทั้งประเทศ! และ ดราม่า กันใหญ่ในโลกออนไลน์!
จนล่าสุด นายกฯ สั่งถอยไปหลังสงกรานต์ เพราะทนกระแสวิจารณ์และต่อต้านไม่ไหว