แต่คำถามก็คือ เรื่องน่ายินดีแบบนี้ มันก็น่าจะเป็นเรื่องดีแล้วไม่ใช่หรือ ลองไปอ่าน สเตตัสที่นักเรียนชั้น ม. 5 คนนี้โพสต์ลงเฟซบุ๊ค จนเกิดกระแสวิพากย์ วิจารย์กันก่อนครับ
"กลายเป็นวัฒนธรรมของระบบการศึกษาไทยไปเลยนะครับสำหรับ คนติดหมอ ติดวิศวะได้ขึ้นป้ายติดหน้าโรงเรียน ตกลงในสังคมเราก็คงมีแต่สองสามอาชีพนี่แหละครับที่สังคมไทยยอมรับ อาชีพอื่นๆคงเป็นแค่อาชีพสำหรับพวกเด็กเรียนไม่เก่ง เกรดไม่ดีหรือไม่มีโอกาสที่จะต้องมาขึ้นป้ายแสดงความยินดีและเชิดชูเกียรติอะครับ
เหมือนกับบางอาชีพเลยนะครับที่ผูกขาดความรักชาติ คนอื่นไม่สามารถรักชาติได้เหมือนอาชีพของตน นี่แหละครับ สังคมคนดีสังคมที่ทุกคนมีโอกาสอย่างเสมอภาค สังคมที่ยอมรับความคิดความแตกต่าง ประเทศนี้พัฒนาแน่ครับ ไทยแลนด์ 4.0 จะมาในไม่ช้าครับ" แสงชัย โพสต์
เป็นเส้นบางๆ ที่กั้นระหว่าง การแสดงความยินดี กับการอวด เป็นเส้นบางๆ ที่กั้นระหว่าง ความต้องการที่จะเรียกร้องความเป็นธรรมเท่าเทียม กับ ความอิจฉาในใจ อันนี้นานาทัศนะให้ได้ถกเถียงอย่างสร้างสรรค์
แต่ที่มา ของการติดป้ายนักเรียนสอบติดหมอ หน้าโรงเรียนที่ว่านั้น ก็อาจมาจากวัฒนธรรมที่ฝั่งรากอยู่ในครอบครัวมีเพื่อนเล่าให้ฟังว่า ทุกๆ ช่วงเทศกาลที่มีญาตผู้ใหญ่มารวมตัวกันเยอะๆ เช่น ปีใหม่ เช้งเม้ง หรือสงกรานต์ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในวงสนทนานั้น ย่อยเต็มไปการไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบ เพราะนานๆ ลุง ป้า น้า อา น้อง พี่ จะได้มาเจอกัน
การไถ่ถามสารสุขดิบ น่าจะเป็นการแสดงความเป็นห่วงเป็นใยอย่างหนึ่ง แต่ก็มีเส้นบางๆ อีกนั่นแหละเมื่อ มีคำถามว่า "ลูกเธอเรียนเป็นอย่างไร" "นี่ลูกชั้นเพิ่งสอบติด..." "ลูกชั้นก็เพิ่งได้รางวัลเรียนดี" "แล้วลูกเธอล่ะเป็นอย่างไรบ้าง" "นี่ดูอย่างลูกของ... บ้างสิ เค้า...."
บรรยากาศการไถ่ถามในวงศาคณาญาติ พลันเปลี่ยนเป็นการอวดลูกอวดหลาน ความภาคภูมิใจปะปนไม่พร้อมๆ กับความขมขื่นของใครบ้างคนเราเปลี่ยนความคิดใครไม่ได้อยู่แล้วครับ ทุกคนต้องการการยอมรับ ทุกคนต้องการความเท่าเทียม เริ่มจากเราเห็นคุณค่าในตัวเอง และเห็นคุณค่าของคนทุกคน