กรณี น.ช.สาคร ขาวพันธุ์ ผู้ต้องขังชาว ต.เขาดิน อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี หลังสำนึกผิด ได้เขียนจดหมายสารภาพว่า ได้ร่วมกับพวกเป็นผู้ลงมือปล้นรถยนต์กระบะโตโยต้า วีโก้ 4 ประตูสีบรอนซ์เงินป้ายแดงของเหยื่อ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 23 มี.ค. 2549 เวลาประมาณ 18.45 น. ที่บ้านเลขที่ 252 หมู่ 4 ต.ปลายนา อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี
17 เมษายน 2549 เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามจับกุมผู้ต้องหาได้ 1 ราย ทราบชื่อนายกมล แพเขียว อายุ 48 ปี เป็นชาว ต.หันคา อ.หันคา จ.ชัยนาท ในขณะนั้นนายกมลทำงานเป็นนักการภารโรง ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ใน จ.ชัยนาท ซึ่งญาตได้มีหลักฐานบัญชีลงเวลาการปฎิบัติงานของนักการภารโรงของโรงเรียน ที่นายกมล ยังลงชื่อทำงาน เข้าและออกอยู่ในวันเกิดเหตุ คือวันที่ 23 มี.ค. 2549
19 กันยายน 2555 ศาลฏีกาอ่านคำพิพากษา ที่ 13733/2555 ให้ลงโทษจำคุกนายกมล 20 ปี ในฐานความผิด ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีและใช้อาวุธปืน และพกพาอาวุธปืนไปในหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควรและไม่ได้รับอนุญาต
น.ช.สาคร เปิดเผยว่า เมื่อปี 2552 ขณะตนเองต้องโทษที่เรือนจำ จ.สุพรรณบุรี ได้พบกับนายกมล ในเรือนจำ จึงพูดคุยกันว่านายกมล ติดคุกในข้อหาอะไร ซึ่งนายกมลบอกว่าในข้อหาปล้นทรัพย์รถยนต์กระบะป้ายแดง ที่ ต.ปลายนา อ.ศรีประจันต์ แต่นายกมล ยืนยันว่าตนเองไม่ได้เป็นผู้ก่อเหตุ น.ช.สาคร เลยตัดสินใจเขียนจดหมายเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ส่งให้ผู้เป็นแม่ เพื่อส่งต่อให้กับเจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรม
ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ตรวจสอบบ้านเกิดเหตุ ใน อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี ซึ่งปลูกเป็นบ้านปูนชั้นเดียว ลักษณะคล้ายรีสอร์ท มีรั้วรอบขอบชิด แต่ไม่มีใครอยู่ในบ้าน บ้านถูกปิดไว้
นายคำรณ ถนอมผิว ชาวบ้านหมู่4 ต.ปลายนา อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี เปิดเผยว่า วันเกิดเหตุตนเองนั่งพักผ่อนบริเวณลานหน้าบ้าน ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับบ้านเกิดเหตุ เวลาประมาณใกล้ 19.00 น. ได้เห็นรถยนต์กระบะ 4 ประตูป้ายแเดงขับออกไป ก็นึกว่าเจ้าของบ้านใช้รถปกติ มารู้อีกที เจ้าของบ้านบอกว่าโดนปล้น ซึ่งคนร้ายได้จับเด็กในบ้าน 2 คน มัดไว้ แต่ไม่เห็นตัวคนร้าย นายคำรณ บอกต่อว่า บ้านหลังนี้ปกติ เจ้าของบ้านจะจ้างคนมาเฝ้าบ้าน เจ้าของบ้านจะไม่ค่อยอยู่ เจ้าของเป็นคนไทย มีสามีเป็นชาวต่างชาติ
ด้าน ผกก.สภ.ศรีประจันต์ พ.ต.อ.สมบัติ อ่อนสมบูรณ์ บอกว่า เพิ่งย้ายมาทำงานที่โรงพักแห่งนี้ได้ 2 ปี ล่าสุดตำรวจภูธรภาค7 ได้ร่วมกับกระทรวงยุติธรรม ได้ตั้งคณะกรรมการรวบรวมเอกสาร พยานและหลักฐานทั้งหมด ตามที่ผู้ต้องขังให้ข้อมูล เพื่อที่จะได้ยื่นฟ้อง หากเป็นผู้ต้องหาตัวจริง โดยตนเองเป็นหนึ่งในคณะกรรมการทั้งหมด 7 คนและพร้อมให้ความร่วมมือ ถ้ามีการรื้อฟื้นคดีใหม่