svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

ครูจอมทรัพย์ยังไม่กลับบ้าน ด้านญาติคนตายไม่ติดใจได้เงินครบก็พอ

17 มกราคม 2560
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ครูจอมทรัพย์ "แพะคดีขับรถชนคนตาย"หลังขึ้นศาลยังไม่กลับบ้าน คนใกล้ชิดระบุไปงานศพพี่สาว ด้านเงินที่นำมาจ่ายเยียวยา คนในเหตุการณ์ก็ต่างเสียชีวิตแล้ว ญาติไม่ติดใจรื้อคดีใหม่

จากกรณีที่ นางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร อายุ54ปี อดีตข้าราชการครูโรงเรียนบ้านม่วงไข่ประชาราษฎร์สงเคราะห์ ต.ด่านม่วงคำ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร ถูกศาลฎีกาให้ต้องโทษ ในคดีขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิต เหตุเกิดเมื่อปี2548และศาลฎีกาพิพากษาให้จำคุก เป็นเวลา3ปี2เดือน และได้รับพระราชทานอภัยโทษ ออกมาเมื่อปี2558ร วมถูกจำคุก1ปี6เดือน หลังออกมาได้เดินเรื่องทวงถามความยุติธรรม จนนำมาสู่กระบวนศาลอุทธรณ์ภาค4มีคำสั่งให้ศาลจังหวัดนครพนม ซึ่งเป็นศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานคดี ยื่นรื้อฟื้นคดีใหม่ ตาม พ.รบ.คดีอาญาการรื้อฟื้นคดีขึ้นมาพิจารณาใหม่ ล่าสุดเมื่อวันที่16ม.ค.ที่ผ่านมา โดยศาลจังหวัดนครพนม นัดสืบพยานภายในวันที่8 -10ก.พ. นี้

ล่าสุดวันนี้ 17 ม.ค.60 ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังบ้านของครูจอมทรัพย์ ที่บ้านม่วงไข่ ต.ด่านม่วงคำ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร พบว่า บ้านสองชั้นสีเขียว มีรั้วรอบขอบชิดประตูเหล็กหน้าบ้านถูกปิดไว้ แต่ไม่ได้ล็อคกุญแจ สอบถามเพื่อนบ้านในละแวกดังกล่าว ต่างปฏิเสธเพราะไม่ทราบข้อมูลในด้านคดี เพราะเพื่อนบ้านใกล้เคียงก็เพิ่งย้ายมาอยู่หลังเกิดเรื่องครูจอมทรัพย์ตกเป็นผู้ต้องหา  และรู้ว่าครูจอมทรัพย์ ติดคุกในคดีขับรถชนคนตาย หลังออกจากคุกก็อยู่กับบ้าน และเดินทางไปๆมาๆต่างจังหวัด จนเมื่อมาเป็นข่าว ก็คอยติดตามความเคลื่อนไหวตามสื่อ แต่หลังจากไปขึ้นศาลที่จังหวัดนครพนมเมื่อวันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา  ครูจอมทรัพย์ ยังไม่กลับบ้าน รู้เพียงว่า พี่สาวที่อยู่จังหวัดกาฬสินธุ์ เพิ่งเสียชีวิต ส่วนจะมีพี่น้องกี่คน ไม่ทราบเพราะไม่เคยสอบถาม รู้แต่ว่า ครูจอมทรัพย์ มีพื้นเพเป็นคนจังหวัดกาฬสินธุ์ และมารับราชการที่บ้านม่วงไข่ และแต่งงานกับสามี ที่เป็นคนบ้านม่วงไข่ ปัจจุบันรับราชการเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลประจำตำบลแห่งหนึ่ง หลังเกิดเรื่องสามีครูจอมทรัพย์ก็เดินทางไปๆมาๆที่บ้านหลังดังกล่าวอยู่ตลอด แต่ไม่รู้ว่าเลิกรากันหรือไม่ 

ผู้สื่อข่าวได้ไปสอบถาม นางเอ (นามสมมุติ) ซึ่งเป็นลูกสะใภ้ ที่เปิดร้านขายส้มตำ ก๋วยเตี๋ยว ลาบก้อย หน้าปากซอยห่างบ้านครูจอมทรัพย์ ประมาณ50เมตร กล่าวว่า ไม่อยากให้ข้อมูล เพราะไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันกับครูจอมทรัพย์ และสามีที่ทำงานอยู่ต่างประเทศ ซึ่งเป็นลูกชายคนกลาง ของครูจอมทรัพย์ ห้ามไว้ ไม่อยากให้ไปยุ่งเกี่ยวเพราะเป็นเรื่องของคดี ส่วนตนเองก็เพิ่งแต่งงานเมื่อปี58หลังครูจอมทรัพย์ ออกมาจากคุก จึงไม่รู้เรื่องราวมาก ส่วนสามีจะกลับมาพักบ้าน ปีละครั้งๆประมาณละ5เดือนเท่านั้น จากนั้นผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยัง บ.พระซอง หมู่1ต.พระซอง อ.นาแก จ.นครพนม ซึ่งเป็นบ้านของนายเหลือ พ่อบำรุง ที่เป็นผู้ตายในคดีของครูจอมทรัพย์ พบว่า มีสื่อมวลชนมารอทำข่าวจำนวนหนึ่ง เพื่อสัมภาษณ์ นางแพงสี พ่อบำรุง ลูกสาวผู้ตาย ถึงความรู้สึกหลังมีการรื้อฟื้นคดีขึ้นใหม่

จากการสอบถาม นายสว่าง พ่อบำรุง น้องชายผู้ตาย บอกว่า ตนเองเป็นผู้ที่นำหลาน ก็คือนางแพงสี เดินทางไปติดตามความคืบหน้าคดีตลอดเวลาที่อยู่ในกระบวนการของศาล เพียงแค่ต้องการขอความเป็นธรรมจากศาล ข้อเท็จจริงใครผิดใครถูกไม่รู้ เป็นเรื่องของกระการศาล แต่ตลอดระยะเวลา 9 ปี ที่ต่อสู้มา ก็คิดแค่ว่าคงไม่มีใครมารับผิดหรือดูแลค่าชดใช้ ทำได้แค่รวบเงินจากญาติพี่น้องมาจัดงานทำบุญให้กับพี่ชายคือนายเหลือ  พ่อบำรุง จนมีหนังสือจากศาลให้ไปรับฟังคำพิพากษาและไกล่เกลี่ยสินไหม

"เมื่อถามประเด็นว่าใครเป็นคนจ่ายเงินเยียวยา ผมไม่ทราบว่าเป็นเงินของครู หรือ เงินของใคร เพราะตอนนั้นครูอยู่หน้าบัลลังก์ ศาลสอบถามจะจ่ายค่าสินไหมเท่าไร ซึ่งในฝ่ายของครูที่มาฟังคำไกล่เกลี่ย ขอจ่าย8หมื่นบาท แต่ศาลกล่าวว่า เงินน้อยไปเพราะตั้งแต่เกิดเรื่องยังไม่มีการจ่ายเงินเยียวยาเลย จึงเพิ่มให้เป็น1.7แสนบาท ซึ่งครูก็ไม่ได้พูดอะไร แต่ตัวแทนของครู ก็ขอรับเป็นภาระให้"นายสว่าง กล่าวต่อมา ตนได้ลุกขึ้นกล่าวต่อศาลว่า ในฐานะตัวแทนญาติผู้ตาย ขอทำบุญกับครู เป็นเงิน2หมื่นบาท โดย หลังลงจากศาลรับเงินจริง1.5แสนบาท ซึ่งเงินที่รับมาตนเองไม่แน่ใจว่าเป็นเงินของนายสับ วาปี ที่ออกมายอมรับสารภาพว่าเป็นคนชน หรือของใคร แต่ได้รับจากตัวแทนของครู ส่วนการที่นายสับ จะรับว่าเป็นเงินของตนเองหรือไม่ ตนไม่ทราบและไม่มั่นใจแม้จะอยู่นั่งใกล้กันอยู่ในระหว่างไกล่เกลี่ยบนศาล แต่สุดท้ายเงินก็เป็นผลประโยชน์ที่ครอบครัวพี่ชายสมควรได้รับ

ส่วนนายแพง วงศ์แก้ว ที่ถูกระบุว่า เป็นพยานที่เห็นเหตุการณ์ ซึ่งขี่จักรยานตามหลังผู้ตายมา และอยู่บ้านติดกันกับผู้ตาย ได้เสียชีวิตลงจากโรคประจำตัวไปหลายปีแล้ว ซึ่งในส่วนตัวเมื่อมีการรื้อฟื้นคดีใหม่ ตนเองและญาติคงไม่มีหนหางไปต่อสู้อะไรได้อีก

logoline