นายสงกานต์ เปิดเผยว่า เหตุเกิดจากหัวหน้าพยาบาลได้แจ้งตนให้เข้าช่วยเหลือเศรษฐีนีรายนี้ ซึ่งจากการสอบถามถึงลูกเลี้ยงคนดังกล่าว ทางเศรษฐีนี บอกว่า ได้ขอมาเลี้ยงจากโรงพยาบาล ด้วยความที่รักเหมือนลูกในไส้ โดยเคยกล่าวเอาไว้ว่า หากวันนึงเป็นอะไรไป ก็จะยกทรัพย์สมบัติให้ แต่หลังจากนั้นลูกเลี้ยงกลับมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง ไม่ยอมให้ตัวเศรษฐีนีพบปะผู้คน และพยายามให้โอนทรัพย์สินอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งวันเกิดเหตุเมื่อปี 2558 มีการโอนเงินปิดบัญชี โดยทางหัวหน้าพยาบาลได้เดินทางไปด้วย จากนั้นได้พบความผิดปกติการปิดบัญชีที่ต้องลงลายมือ แต่กลับให้ปั้มรายนิ้วมือแทน
"ด้วยความผิดปกติทางเศรษฐีนีได้ให้หัวหน้าพยาบาลร่างจดหมายและเซ็นชื่อกำกับว่า หากลูกเลี้ยงยอมคืนเงินที่เคยถอนไปกว่า 30 ล้านบาท ก็จะยกเงินให้จำนวน 10 ล้านบาท กระทั่งต่อมาหัวหน้าพยาบาลได้ถูกคนร้ายทุบรถยนต์ เพื่อนำเอากระเป๋าใส่เอกสารดังกล่าวไป แต่คนร้ายเข้าใจผิด หยิบเอากระเป๋าอีกใบไป การกระทำดังกล่าวมีหลักฐานเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดในวันเกิดเหตุ ทั้งนี้เศรษฐีนีคนนี้มีลูกเลี้ยงทั้งหมด 3 คน เป็นชาย 2 คน และ หญิง 1 คน โดยลูกเลี้ยงทั้งหมดร่วมกันก่อเหตุดังกล่าว" นายสงกานต์ กล่าว
นายสงกานต์ กล่าวต่อว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 กันยายน ที่ผ่านมา ลูกเลี้ยงได้ส่งกลุ่มนักเลงพาตัวเศรษฐีนีออกจากโรงพยาบาลธนบุรีไปบ้านพักย่านธรรมศาลา โดยจากการตรวจสอบพบว่าลูกเลี้ยงผู้หญิงเคยมีคดีของ สน.ท่าพระ เป็นเหตุจ้างวานฆ่าสามี รับโทษจำคุก 8 ปี และเพิ่งพ้นโทษออกมา ซึ่งตนเป็นห่วงในสวัสดิภาพของเศรษฐีนีรายนี้ จึงได้ประสานไปทางกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) เพื่อเข้าช่วยเหลือแล้ว
ด้าน พล.ต.ท.ศานิตย์ กล่าวว่า เบื้องต้นตนได้รับเรื่องไว้ตรวจสอบ หากพบว่ามีการกระทำผิดทางอาญา พร้อมสั่งพนักงานสอบสวน สน.บางเสาธง เร่งรัดดำเนินการ เพื่อให้เกิดความสบายใจกับทุกฝ่าย และวันนี้(28 ก.ย.)ในเวลา 15.00 น. นายสงกานต์ พร้อมด้วยเลขาฯ พม. และเจ้าหน้าทีตำรวจ สน.บางเสาธง จะเข้าไปตรวจสอบบ้านพักของลูกเลี้ยงคนดังกล่าวย่านธรรมศาลา เพื่อให้ความช่วยเหลือเศรษฐีนีคนนี้ต่อไป