และสัญญาว่าจะดูแลการปลูกจนเก็บผลผลิต แต่เมื่อลงมือปลูกก็หายตัวไปเลย จึงได้ดูแลต้นดาวเรืองเองตามลำพัง ทั้ง ๆ ที่ประสบกับภัยแล้งอย่างหนัก พร้อมกับหาผู้รับซื้อเองจากในตัวเมืองพิษณุโลก ดอกดาวเรืองก็สามารถทนแล้งมาได้จนปัจจุบัน และที่สำคัญไม่มีการใช้ปุ๋ยเคมีในดอกดาวเรือง เพราะต้องการลดต้นทุนการผลิต และปลอดสารพิษ เวลาผ่านไป 3 เดือน และได้ย่างเข้าฤดูฝนแล้ว ดอกดาวเรืองเจริญเติบโตขึ้นจากเคยเก็บดอกระดับเข่า ปัจจุบันเท่ากับราวนมแล้ว คาดว่าอีกเดือนหนึ่งจะสูงท่วมหัวแน่ แต่ดอกก็ยังออกดกมาก ต้องจ้างคนมาเก็บ วันละ 10 คน ๆ ละ 300 บาท โดยเก็บวันเว้นวัน
ปัจจุบันได้มีพ่อค้าจากปากคลองตลาดมารับซื้อในราคารวม ๆ ตกดอกละ 0.75 บาท ( 75 สตางค์ ) ครั้งหนึ่งจะได้เงินประมาณ 15,000 บาท หรือวันละประมาณ 7,000 บาท ตอนนี้ที่นาที่เหลือเริ่มมีน้ำแล้ว ก็เลยต้องตัดสินใจว่าจะทำนาควบคู่ไปกับการปลูกดอกดาวเรืองนี้ต่อไป ชีวิตเริ่มสบายขึ้นกว่าตอนที่แล้งหนักที่ผ่านมา นาปีก็เริ่มจะทำ แต่ชาวนาคิดว่าการทำนาสบายกว่าการปลูกดอกดาวเรือง เพราะสามารถพักได้ แต่ดอกดาวเรือง ต้องดอกเก็บเกือบทุกวัน แต่ก็ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น นี่คือผลดีของการเปลี่ยนมาปลูกพืชทนแล้งตอนนั้น จึงได้ผลผลิตต่อเนื่องมาถึงช่วงนี้