พล.ต.ต.ชัยพร กล่าวว่า สำหรับวัตถุประสงค์ของกิจกรรมดังกล่าวก็เพื่อต้องการสร้างความเข้าใจให้กับกลุ่มนักศึกษานักเรียนและผู้ปกครอง ดังกรณีตัวอย่างของสน.บึงกุ่ม ที่มีการแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ปกครองให้ร่วมรับผิดชอบในการดูแลบุตรของตนเอง และศาลได้มีการพิพากษาให้ได้รับโทษทางอาญา และทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำสั่ง คสช. ที่ 30/2559 เรื่องมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาทะเลาะวิวาทของนักเรียนและนักศึกษา โดยอาศัยอำนาจในมาตรตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ.2547 โดยทางบก.น.3 ได้เริ่มดำเนินการที่สถาบันแห่งนี้เป็นที่แรก และจะสานต่อดำเนินการอย่างต่อเนื่องตามสถาบันต่างๆต่อไป
ด้าน พล.ต.ท.ศานิตย์ กล่าวว่า ปัญหานักเรียนนักเลงเป็นปัญหาที่ทางเราได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ไม่อยากให้นักเรียนเหล่านี้มาใช้กำลังทำร้ายกัน ซึ่งจะทำให้เสียอนาคต อยากให้พวกเค้าโตขึ้นเป็นบุคลากรแรงงานที่มีคุณภาพ เราจึงต้องเชิญผู้ปกครองมาพบปะพูดคุยเพื่อทำความเข้าใจและรับทราบถึงบทลงโทษจากคำสั่ง คสช. ที่ 30/2559 และชี้แนะแนวทางการแก้ไขปัญหานักเรียนตีกันที่ต้นเหตุ เพราะตอนนี้การที่ใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเฝ้าสังเกตการณ์และตรวจค้นอาวุธตามจุดต่างๆนั้น เป็นการแก้ที่ปลายเหตุ ต้นเหตุที่แท้จริงคือเราต้องแก้ที่ใจ ลบล้างความเชื่อผิดๆหรือ มรดกบาปของรุ่นพี่ที่ปลูกฝังให้กับรุ่นน้องไล่ตี ไล่ฟันกับนักเรียนต่างสถาบัน ถึงแม้ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นยังไงก็ตาม แต่เราก็จะไม่ยอมแพ้จะทำทุกวิถีทางให้ปัญหานี้หมดไปในที่สุด
พล.ต.ท.ศานิตย์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ประกาศ คสช.ที่ 30 ข้อ 2 วรรค 2 ระบุไว้ชัดเจนว่าหากพบนักเรียนนักศึกษาเหล่านี้รวมกลุ่มเตรียมก่อเหตุจะสามารถใช้ประกาศ คสช. ฉบับนี้ดำเนินคดีได้ทันที โดยหัวโจกที่โทษปรับ 2 หมื่น ส่วนคนอื่นๆจะดูตามความเหมาะสม ไม่ได้เป็นการนำกฎหมายมาขู่แต่กฎหมายมีไว้ใช้คุ้มครองคนดี ในส่วนของรุ่นพี่ที่จบไปแล้วแต่ยังคงพากลุ่มรุ่นน้องไปก่อเหตุ ก็จะถือว่ามีความผิดตามประกาศคำสั่ง คสช. ที่ 30 ข้อ 3 ว่าด้วยการยุยงส่งเสริม อัตราโทษจำคุก 3 เดือน ปรับไม่เกิน 3 หมืนบาท
ทั้งนี้สำหรับนักเรียนที่ถูกจับกุใส่วนหนึ่งจะมีการส่งไปเข้าค่ายทหารละลายพฤติกรรม ส่วนจะได้ผลหรือไม่ก็ไม่เป็นไร ก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย เราจะดำเนินการแบบนี้ไปเรื่อยๆ และจะไม่ยอมแพ้ จะดำเนินการเช่นนี้ในทุกๆที่ แต่ก็จะไม่ใช้กฎหมายพร่ำเพรื่อเกินความจำเป็น