
วันนี้ (25 มี.ค.59) ที่กรมทรัพยากรทางทางทะเลและชายฝั่ง(ทช.) ประชุมคณะทำงานเพื่อพิจารณาพื้นที่ที่มีความสามารถในการติดตามสถานภาพปะการังจากการฟอกขาว มีตัว แทนจากหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรมการท่องเที่ยว นักวิชาการด้านปะการัง ตัวแทนจากไอยูซีเอ็น หารือถึงมาตรการรับมือปะการังฟอกขาวปี 2559
ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากร ทางทะเล ชายฝั่งทะเล และป่าชายเลน ทช.บอกว่า จากอิทธิพลของปรากฎการณ์เอลนีโญที่รุนแรง ส่งผลให้อุณหภูมิน้ำทะเลมีค่าสูงเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1-2 องศาเซลเซียส โดยทะเลฝั่งอ่าวไทยสูงถึง 30.5 องศาเซลเซียส ทำให้ทีมวิชาการประเมินว่าปี 2559 โอกาสที่ปะการังจะฟอกขาวเสียหายหนักกว่าเหตุการณ์ในปี 2538,2546 และปี 2553 ที่ปะการังเสียหายถึงร้อยละ 60 จึงเตรียมเสนอประกาศคุ้มครองทรัพยากรปะการังจากการฟอกขาว เพื่อลดผลกระทบจากกิจกรรมท่องเที่ยวการดำน้ำ และบางจุดจะปิดเพื่อเป็นแหล่งอนุรักษ์พ่อแม่พันธุ์ปะการัง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะทำงานปะการัง ได้ทำข้อเสนอพิจารณาปิดแหล่งปะการังที่อ่อนไหวต่อการฟอกขาวที่รุนแรงเป็นระยะเวลา 1 ปี หลังจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) ลงนามในประกาศแล้ว มีทั้งสิ้น 32 จุดแบ่งออกเป็นแนวปะการังฝั่งทะเลอันดามัน 15 จุด เช่น จังหวัดพังงา คือ ฝั่งตะวันออก ของเกาะสิมิลัน , เกาะสุรินทร์เหนืออ่าวไทรเอน ,เกาะตาชัย, เกาะยูง ,เกาะไผ่ หินกลาง จ.กระบี่ , เกาะแอว จ.ภูเก็ต ปิดหาดตะวันออกเฉียงเหนือ เกาะไม้ท่อน จ.ภูเก็ต เกาะอาดังราวี จ.สตูล
ส่วนฝั่งทะเลอ่าวไทย 17 จุด เช่น จ.ตราด เกาะช้างน้อย,เกาะยักษ์ใหญ่,เกาะหินเกือกม้า, เกาะกูดฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ บริเวณอ่าวกล้วย ,จ.สุราษฎร์ธานี เช่น อ่าวเมา ฝั่งตะวันออก ,อ่าวลึก ,เกาะพะงันตอนเหนือและทางใต้บริเวณหาดบ้านใต้ ,เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ,เกาะทะลุ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ,เกาะค้างคาว จ.ชลบุรี,เกาะช้างน้อย จ.ตราด เป็นต้น
โดยข้อเสนอนี้จะต้องเสนอไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจะต้องทำแนวเขตที่ชัดเจน เหตุผลสำคัญ เพื่อป้องกันผลกระทบรบกวนจากปะการังฟอกขาวรุนแรงปี 59 ที่คาดว่าจะเสียหายถึงร้อยละ 80
ตัวแทนกรมการท่องเที่ยว แสดงความกังวลว่า การเสนอปิดแหล่งปะการัง อาจส่งผลต่อผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว และธุรกิจดำน้ำ เพราะส่วนใหญ่จะขายแพคเกจข้ามปี และรับปากจะไปพูดคุยกับผู้ประกอบการ เพื่อทำความเข้าใจ