
เมื่อเวลา 04.10 น.วันนี้ (16มี.ค.) พระญาณวิศิษฏ์ (หลวงพ่อทอง) เจ้าอาวาสวัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ ซึ่งล้มป่วยโรคมะเร็งในลำไส้ เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราชมานานหลายปี ได้มรณภาพอย่างสงบ สิริอายุ 83 ปี 10เดือน 14 วัน โดยบวชมานานกว่า 63 พรรษา การสูญเสียหลวงพ่อทองสร้างความโศกเศร้าเสียใจให้กับลูกศิษย์เป็นอย่างมาก โดยเวลา 13.30 น. ลูกศิษย์ได้เดินทางมาที่ตึกอดุลยเดชวิกรม โรงพยาบาลศิริราช เพื่อรับศพกลับไปที่วัดอโศการาม เพื่อสวดพระอภิธรรมศพในเวลา 15.00 น. และจะพิธีอาบน้ำศพในเวลา 17.00 น.วันนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการเตรียมงานที่วัดอโศการาม ตั้งแต่ช่วงเช้าเป็นไปอย่างเงียบเหงา มีเพียงพระลูกวัดและชาวบ้านที่เคารพนับถือหลวงพ่อทอง เดินทางมาจัดเตรียมสถานที่ตั้งศพบนศาลาทรงธรรม ซึ่งจะมีการตั้งสวดพระอภิธรรมอย่างน้อย 100 วัน โดยขณะนี้ คณะกรรมการวัดได้กางเต้นท์ และขึงผ้าใบเพื่อให้ประชาชนที่เดินทางมาร่วมงานได้ใช้หลบแดดเป็นทางยาวทั้งนี้ สำหรับประวัติของหลวงพ่อทอง เกิดเมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2475 ครอบครัวเป็นชาวจังหวัดอุบลราชธานี มีพี่น้องร่วมบิดามารดาด้วยกันทั้งหมด 9 คน ท่านเป็นบุตรคนที่ 6 ต่อมาครอบครัวย้ายมาอยู่ ณ ต.วังใหญ่ อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ ในชีวิตวัยเยาว์ ท่านศึกษาจบเพียงชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ต้องเลิกเรียนกลางคันเพื่อมาช่วยเหลือทางบ้านทำนา ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อปี พ.ศ. 2494 ขณะมีอายุได้ 19 ปี ณ วัดป่าคลองกุ้ง ต.ตลาด อ.เมือง จ.จันทบุรี ต่อมาเมื่อมีอายุได้ 21 ปี ท่านอุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อปี พ.ศ. 2496 ก่อนย้ายไปพักจำพรรษาอยู่ที่วัดเขาแก้ว ต.หนองตาคง อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี หลวงปู่ทองได้ศึกษาธรรมะและการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจากหลวงพ่อลี ธมฺมธโร ผู้ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาแท้ๆ ต่อมาในปี พ.ศ.2518 ได้รับแต่งตั้งเป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี หลังจากนั้นในปีพ.ศ.2534 ท่านเป็นเจ้าอาวาสรูปที่ 3 ของวัดอโศการาม โดยได้รับตำแหน่งสืบต่อจากพระเทพโมลี (สำรอง คุณวุฑฺโฒ) มาจนถึงปัจจุบัน หลังจากนั้นในปีพ.ศ.2535 ได้รับแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่"พระญาณวิศิษฏ์" หลวงปู่ทองเป็นพระนักเทศน์รูปหนึ่ง ท่านมักจะเน้นเรื่องการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน หลวงปู่ทองเคยกล่าวไว้ว่า "การฝึกธรรมมะ ต้องรู้จักการฝึกความอดทนไว้ก่อน และต้องมีสติด้วย เพราะมนุษย์ ไม่มีจุดยืนในความคิด ชอบใช้สติปัญญาของตนไปตัดสินโดยการสังหารกิเลสของตนเอง เมื่อสมาธิเป็นสมถะจิตจะบังเกิดความสงบ อย่างบางคนบอกอะไรอนิจจัง อะไรไม่เที่ยง อะไรก็อยู่ไม่ได้ อะไรแตกดับ ทำไมไม่ถึงวิปัสสนา เพราะใจมันยังไม่มีสมถะ ใจมันไม่นิ่ง ใจมันส่ายไปมา พอใจหยุดนิ่ง สิ่งที่เห็นคือพระ สิ่งที่เห็นด้วยใจ ไม่ได้เห็นจากดวงตา สิ่งที่มันเกิดคือผู้รู้แท้ ถ้ารู้ใจเจ้าของคือผู้รู้ตน ใจก็อยู่ที่ใจ ไม่ใช่เอาใจไปไว้ที่หัวหรือบนผม รู้จักที่มาที่ไป ไม่ใช่ไปรู้ตามหนังสือที่เขียน แล้วก็หอบสังขารไป"