
ปัญหาเด็กนักเรียนตีกันยังคงเป็นเรื่องที่สร้างความหนักใจให้แก่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพราะหลายสิบปีที่ผ่านมาแม้ว่าทางการจะมีมาตรการแก้ไขเข้มงวดเพียงใด แต่ปัญหาเด็กนักเรียนทะเลาะวิวาทก็ยังไม่เคยเบาบางลงแต่อย่างใด
ล่าสุด เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (เลขาธิการ กอศ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ในการประชุมหารือและพิจารณามาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทะเลาะวิวาทของนักเรียน นักศึกษาที่มี พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน ได้หารือกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงยุติธรรมไปหามาตรการแก้ไขปัญหา โดยที่ประชุมได้ขอให้กระทรวงศึกษาธิการเสนอข้อมูลและปัญหาที่เกิดขึ้นและมีข้อเสนอแนะว่า การจะแก้ไขปัญหานักเรียน นักศึกษาทะเลาะวิวาทได้สำเร็จ ควรจะต้องมีกฎหมายเข้ามาดูแลอย่างเข้มข้น
ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นว่าควรจะกำหนดมาตรการ 4 ด้าน ได้แก่ ดังนี้
1.มาตรการต่อสถานศึกษา หากพบว่ามีการปล่อยปละละเลยไม่ดูแลเด็กจนมีการก่อเหตุ ก็จะต้องรับผิดชอบ ขณะเดียวกันก็จะมีมาตรการส่งเสริมให้สถานศึกษาดูแลเด็กด้วย
2.มาตรการต่อผู้ปกครอง หากปล่อยให้บุตรหลานไปกระทำความผิดต้องรับผิดชอบด้วยจะบอกว่าไม่รู้เรื่องไม่ได้
3. มาตรการต่อผู้ยุยงส่งเสริม อาทิ รุ่นพี่ ศิษย์เก่า หัวโจก ร้านค้าบริเวณรอบสถานศึกษาที่ยอมให้เก็บอาวุธ ก็จะต้องได้รับโทษทางกฎหมายด้วย
และ 4.มาตรการต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เสนอให้เพิ่มอำนาจให้แก่ครูฝ่ายปกครอง หรือสารวัตรนักเรียน สามารถกักตัวเด็กได้เป็นเวลา 6 ชั่วโมงเฉพาะกรณีที่มีการทะเลาะวิวาท หรือหากพบว่าเด็กนัดรวมตัวกันไปก่อเหตุ เพื่อรอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมารับตัวไปดำเนินการตามกฎหมายต่อไป จากเดิมที่ไม่สามารถทำได้
ทั้งนี้ ยังไม่แน่ใจว่าข้อเสนอจะออกมาเป็นกฎหมาย หรือไปปรับแก้กฎเดิมที่ใช้อยู่ ซึ่งกระทรวงยุติธรรมรับเป็นเจ้าภาพในการดำเนินการ
"ที่ประชุมเห็นด้วยกับมาตรการดังกล่าว เพราะอยากให้การแก้ปัญหาเด็กทะเลาะวิวาทมีมาตรการที่แก้ปัญหาได้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อปัญหาเหล่านี้จะได้ลดลง แต่การแก้ไขกฎหมายต้องใช้ระยะเวลานาน ดังนั้นที่ประชุมจึงมีมติให้เสนอการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวไปยังคณะรัฐมนตรี เพื่อขอใช้อำนาจหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 เพื่อให้มาตรการต่างๆ มีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุด" ดร.ชัยพฤกษ์ กล่าว